ในที่สุดยานพาหนะที่บรรจุคนสิบชีวิตก็ต้องเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านกาแฟชื่อดังในบริเวณจุดพักระหว่างทาง เมื่อประตูรถเปิดออก คนที่ทยอยกันลงมาต่างมีใบหน้ายับยุ่งแทบไม่ต่างกัน ยกเว้นอยู่คนเดียว
“น้องณาณ่าจ๋า อะไรกันนักหนานะเรา” อรรถนนท์บ่นอู้ เขาหลับสนิทมาตลอดทางจนมาสะดุ้งตื่นเพราะการแผดเสียงราวกับไฟไหม้บ้านของหญิงสาว แต่เมื่อสอบถามกันแล้วกลับได้คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ เพียงแค่…เจ้าหล่อนต้องการดื่มกาแฟ
“ก็ไม่ได้นักหนานี่คะ แค่ขอให้จอดรถเพราะณาณ่าต้องดื่มกาแฟเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายตอบด้วยหน้าตาไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยที่ทำให้คนทั้งรถต้องใจหายใจคว่ำกับเสียงร้องกะทันหัน พาณาสน์จึงต้องรีบปรามขึ้นก่อนที่ความวุ่นวายของเธอจะทำให้คนอื่นไม่พอใจมากกว่านี้
“ไม่เอาน่าณาณ่า ทำไมต้องเดี๋ยวนี้ รออีกแค่สองชั่วโมงก็ถึงที่โน่นแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ ณาณ่าต้องดื่มกาแฟก่อนสิบโมงนะคะ ไม่งั้นจะปวดศีรษะ ความดันตก ไมเกรนขึ้น ถึงขั้นอารมณ์เสีย และส่งผลต่อผิว รวมทั้งอาจก่อเกิดริ้วรอยก่อนวัยค่ะ”
“พี่บอกแล้วว่าดื่มของพี่ไปก่อนก็ไม่ยอม”
“หวาย ไม่ได้หรอกค่ะ พี่อรรถชงอะไรมาก็ไม่รู้ ณาณ่าต้องดื่มดีแคฟเท่านั้นค่ะ แล้วก็ต้องเติมครีมแบบฮาล์ฟแอนด์ฮาล์ฟ และน้ำตาลไม่ขัดสีด้วย”
อาการจีบปากจีบคอตอบทำให้คนฟังบ้างก็กลอกตา บ้างก็ถอนใจอย่างระอา
“แล้วทำไมเมื่อเช้าไม่ดื่มมาให้เรียบร้อยก่อนล่ะจ๊ะคุณน้อง”
“ก็ลืมนี่คะ ปกติณาณ่าความจำดีพอๆ กับหน้าตานะคะ แต่เมื่อเช้ามัวแต่ทาซันสกรีน เลยเผลอลืมกาแฟ”
“กันแดดน่ะนะ จะรีบทาไปทำไม เขาให้ทาล่วงหน้าก่อนออกแดดแค่ยี่สิบนาที นี่เราต้องนั่งรถกันตั้งเกือบห้าชั่วโมง”
“ต้องทาสิคะ เพราะว่าต่อให้อยู่ในรถรังสียูวีเอก็สามารถส่องทะลุลงมาได้นะคะ พวกฟิล์มติดรถเนี่ยกรองได้แค่แสงค่ะ แต่กรองรังสีไม่ได้ ณาณ่าต้องกันไว้ก่อนค่ะ อ๊ะ พูดแล้วเดี๋ยวก็ต้องทาอีกสักรอบ”
“ไม่ทาสัก SPF สองร้อยไปเลยล่ะจะได้ไม่ต้องทาบ่อยๆ” เสียงเยาะอย่างหมั่นไส้ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง
“เพราะมันไม่จำเป็นค่ะ ค่า SPF สูงๆ ไม่ได้มีประโยชน์สักหน่อย จริงๆ แล้วในชีวิตประจำวันค่า SPF สิบห้าถึงยี่สิบก็พอแล้ว แต่ถ้าออกมาเที่ยวแบบนี้สักสามสิบถึงสี่สิบก็พอค่ะ ทาไปเยอะๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไร ประสิทธิภาพการป้องกันอยู่ที่วิธีการทาและค่าความเสถียรของสารตัวนั้นๆ ไม่ใช่ค่ากรองรังสีหรอกค่ะ ไม่เชื่อถามพี่มนก็ได้ค่ะ พี่มนเป็นคนบอกณาณ่าเอง”
ว่าที่มหาบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์เคมีถึงกับชะงักที่ถูกลากเข้าไปเป็นแหล่งข้อมูลของคนพูด พานให้นึกไปถึงตอนที่คนตรงหน้าฮอตไลน์สายร้อนมาหาในขณะที่เธอกำลังทำงานอยู่ในห้องแล็บอย่างขะมักเขม้น แล้วก็ต้องผละออกไปรับโทรศัพท์สาวรุ่นน้องที่กำลังช็อปปิ้งครีมบำรุงผิวเพื่อรักษาความงามที่งามอยู่แล้วให้คงอยู่ รวมทั้งเสริมสร้างให้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง…ตามคำพูดของเจ้าตัว ส่วนคนอื่นๆ จากที่หงุดหงิดก็กลับกลายเป็นมึนงงกับการเจรจาราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณกำลังสอนเลกเชอร์
ตอนแรกพาณาสน์ก็แทบกุมขมับกับความวุ่นวายไม่ถูกที่ถูกทางของยายตัวแสบซึ่งทำเอาหลายคนหัวเสียเพราะถูกปลุกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง และทำท่าจะเสียฤกษ์เสียแผนกันตั้งแต่ต้นทริป แต่เมื่อเอ่ยปรามแล้วเจ้าตัวก็ยังทำตาใสไม่ยอมฟังคำสั่งเขาเหมือนปกติ ความคุ้นเคยและรู้จักเธอเป็นอย่างดีก็สะกิดใจเขาขึ้นมา เมื่อกวาดตาสังเกตสถานการณ์และใช้สมองประมวลผลอีกเล็กน้อยก็พอจะคาดเดาวัตถุประสงค์ของตัวก่อเหตุขึ้นมาได้
…หวังดีแต่พฤติกรรมเกินกว่าเหตุตามแบบฉบับเจ้าหล่อนล่ะ