ภาพแผ่นหลังของลู่ซิงเฉิงที่เดินจากไปไม่ชัดเจน เสียงอึกทึกครึกโครมรอบๆ ก็ค่อยๆ หมดไป ราวกับทุกคนและทุกเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย จำได้รางๆ แต่เพียงว่ามู่หยางกุมศีรษะไปโรงพยาบาล เวินซีปลอบใจเธอว่าไม่เป็นไร ลู่เหยียนจือยื่นนามบัตรให้เธอหนึ่งใบ ส่วนเลือดกำเดาหยุดได้ยังไง เธอออกมาจากงานได้ยังไง แล้วมานั่งดื่มเหล้าที่ริมแม่น้ำได้ยังไง สิ่งเหล่านี้เธอจำไม่ได้เลยแม้แต่นิด
จำไม่ได้แล้วยังไง สำคัญนักหรือไง เหอะๆ ไสหัวไปให้หมดเลย
“หมดแก้ว!” ถงเสี่ยวโยวเดินโซซัดโซเซอยู่ริมแม่น้ำ ยกแก้วขึ้นดื่มกับพระจันทร์ ลมริมแม่น้ำนี้ช่างเย็นสบายจริงๆ พัดมาให้เธอรู้สึกสดชื่น
เมืองในยามค่ำคืนสว่างด้วยแสงไฟสีสันสว่างไสว ก็เหมือนกับกองไฟในหัวใจของเธอที่ก่อนนี้ไม่เคยจะมอดหมด วัยรุ่น ความฝัน หรือวันข้างหน้า ทุกๆ เรื่องก็เป็นแรงใจที่ทำให้ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า ราวกับกองไฟนี้จะสามารถนำทางในเส้นทางมืดมิดให้ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แต่เส้นทางของชีวิตนั้นยาวไกล เดินไปเรื่อยๆ แสงไฟนี้ก็ค่อยๆ มอดลง ความมืดมิดที่รุกคืบก็ค่อยๆ กัดกินความกล้าหาญที่มีอยู่ให้หมดสิ้น แม้แต่ตัวเองที่ถือคบเพลิงวิ่งไปนั้นก็กลายเป็นคนแปลกหน้า สุดท้ายการเยาะเย้ยก็เป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้ระลึกถึงการมีอยู่ของตัวเอง
“ยอมแพ้ซะเถอะ จะดูซิว่าแกใช้ชีวิตยังไง วิ่งตามการออกแบบมันจะมีความหมายอะไร” เธอพูดกับตัวเองพร้อมกับดื่มเหล้าขวดสุดท้ายจนหมด แล้วจู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จริงสิ บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ข้ามไปไม่ได้ เพียงแต่จะข้ามมันไปได้ยังไง มีเพียงคนที่เคยผ่านมาแล้วถึงจะเข้าใจ
เธอยังจำความตื่นตะลึงในปีที่เธออายุสิบหกได้ ชุดราตรีชายยาวหางปลาที่เป็นลายเส้นชุดนั้นออกแบบเป็นชุดเกาะอกอย่างบ้าบิ่น ลายปักนูนทำได้ละเอียดมาก ด้านหลังออกแบบโดยใช้ผ้าแก้วออแกนดี้ทำให้เหมือนมีปีกสองข้างที่แสนเบา เธอมองอย่างหลงใหลและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
และในขณะนั้นเองเธอก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการออกแบบ นั่นก็คือความปรารถนา ดีไซเนอร์นำความงดงามมาให้จับต้องได้ สร้างสรรค์เพื่อให้คนต้องการครอบครองความปรารถนา แฟชั่นก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ดูสูงส่งลึกล้ำ ผู้คนอยากจะสวมเสื้อผ้าอะไร สิ่งนั้นก็คือแฟชั่น เพียงแต่สิบปีนี้การออกแบบของเธอไม่เคยเป็นความปรารถนาของใคร สิ่งที่เธอวิ่งไล่ตามทั้งหมดนี้มันไม่มีความหมายอะไร
ถงเสี่ยวโยวลุกขึ้นตัวโงนเงน ผิวน้ำอันสงบและล้ำลึกของแม่น้ำสะท้อนดวงดาวเล็กๆ ถ้าจะพูดว่าอะไรที่เจ็บปวดมากกว่าการละทิ้ง นั่นก็คือความสงบนิ่ง ในตอนที่เธอทุกข์ทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างที่สุด โลกใบนี้ก็ยังคงเย็นชาและเงียบสงัด ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ ดวงดาวยามค่ำคืนก็ไม่คิดจะกะพริบให้กับเธอเลยสักครั้ง เธอก็เหมือนการดำรงอยู่ที่มีหรือไม่มีก็ได้ ไม่สิ ทำไมเธอถึงใช้คำว่าเหมือน เธอใช่เลยแหละ
ถงเสี่ยวโยวยกขวดเหล้าขึ้นแล้วตะโกนไปที่ต้นไม้ของอีกฝั่งแม่น้ำ “ถงเสี่ยวโยว เธอมันก็แค่ยายโง่”
“พรืด” เสียงหัวเราะเย็นๆ ทำเอาถงเสี่ยวโยวตกใจจนเกือบจะหายใจไม่ทัน เธอเบิกตาโตมองไปรอบๆ ไม่ไกลจากเขื่อนกั้นน้ำมีคนดื่มเหล้าตากลมอยู่ สายลมยามค่ำคืนนำพาเรื่องกลุ้มใจบนโลกเข้ามา พัดจนไรผมบนหน้าผากของเขาขยับ ใบหน้าด้านข้างแสดงให้เห็นถึงความเดียวดายหลายส่วน
“คุณหัวเราะอะไร” ถงเสี่ยวโยวโยนขวดเหล้าทิ้งไปอย่างหงุดหงิด เชิดหน้าแล้วก้าวเดินเข้าไปหา วันนี้แม้กระทั่งคนพเนจรก็ยังหัวเราะเยาะเธอ
คนคนนั้นหันหน้ากลับมา ถงเสี่ยวโยวเดินไปเพียงครึ่งทางก็ถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบจะคุกเข่าลงไปที่พื้น “บอ…บ.ก.”
ลู่ซิงเฉิงมองเห็นเธอก็ยกขวดเหล้าขึ้นให้กับเธอแล้วยิ้ม ดวงตาคู่นั้นของเขาสว่างไสวเหลือเกิน ยิ้มอย่างอบอุ่นและมีเสน่ห์ แตกต่างกับไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วราวกับเป็นคนละคน ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติ “บ.ก. คุณดื่มเมาแล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” ลู่ซิงเฉิงกวักมือเรียกเธอด้วยท่าทางที่มีความสุขมากเหลือเกิน