บทที่สาม หงส์ที่ถูกถอนขนก็สู้ไก่ไม่ได้
เวลาที่ดวงซวยไม่ต้องถามฟ้าว่าทำไมต้องเป็นฉัน เพราะเวลาคุณดวงดีคุณไม่เคยถามว่าทำไม
คอลัมน์ ‘มนุษย์ดวงดาวเดียวดาย’
หากจะพูดว่าลู่ซิงเฉิงโดนขัดขา ถ้าเช่นนั้นถงเสี่ยวโยวก็ถือว่ากำลังยืนอยู่บนกงล้อไฟ ตั้งแต่ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งก็ฉุดเธอไว้ไม่อยู่ ทั้งนิตยสารแฟชั่นหัวใหญ่ๆ และเว็บไซต์ต่างๆ ก็พากันนำเสนอดีไซน์ของเธอออกมา ถงเสี่ยวโยวที่ยังตกใจก็รู้สึกงุนงงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอกินบะหมี่ไก่ผัดเผ็ดอยู่ที่ร้านข้างทางแล้วถูกแอบถ่าย ในข่าวนอกจากจะลงรูปบะหมี่ไก่ผัดเผ็ดแล้วยังวางรูปกระโปรงสีแดงทรงเอที่เธอออกแบบไว้คู่กันด้วย แล้วก็เขียนใต้ภาพว่าแรงบันดาลใจจากอาหารรสเลิศ
ตอนที่เธอกินไก่ผัดเผ็ด เธอกำลังคิดอยู่ว่าถ้ากินกบผัดเผ็ดจะอร่อยกว่านี้หรือเปล่า
และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจและประหลาดใจมากขึ้นไปอีกก็คือจู่ๆ มีโทรศัพท์จากลู่เหยียนจือ
ครึ่งชั่วโมงต่อมาถงเสี่ยวโยวก็ยืนอยู่ที่ตึกของบริษัทเวย์ เธอเงยหน้ามองตึกใหญ่ อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ อาคารยิ่งใหญ่อลังการ กำแพงวางสลับกันด้วยหินอ่อนและกระจก ซึ่งช่องว่างของสิ่งก่อสร้างที่ทะลุปรุโปร่งทำให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขามที่ไม่อาจจะล่วงเกินได้
แม้ว่าในเวลานี้แสงอาทิตย์จะส่องผ่านกำแพงกระจกและสะท้อนลงมาบนใบหน้าของเธอ เธอยังไม่อาจจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ลู่เหยียนจือเดินนำเธอเข้ามาข้างในพร้อมกับแนะนำให้เธอฟังอย่างละเอียด “นอกจากแบรนด์เหยียนเก๋อแล้ว ทุกปีผมก็ยังมีดีไซน์เสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกสี่คอลเล็กชั่นและชุดไฮเอ็นด์ในชื่อของเวย์ ถ้าคุณยินดีที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของเวย์ วันข้างหน้าคุณก็สามารถใช้วิธีแบบนี้นำเสนอผลงานของตัวเองได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้ยูคอลเล็กชั่นเป็นพื้นฐานในการสร้างแบรนด์ขึ้นมา…”
ลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนขึ้น ที่ลอยขึ้นเหมือนกันก็คือความดันของถงเสี่ยวโยว ถ้าจะบอกว่าการถูกรางวัลกับการเป็นข่าวหน้าหนึ่งพาเธอซึ่งนั่งอยู่ในห้องใต้ดินขึ้นมาบนตึกชั้นสูงสุด เช่นนั้นแล้วในตอนนี้เธอก็ถูกส่งไปในอวกาศแล้ว
ห้องทำงานของลู่เริ่นอยู่บนชั้นสูงสุด ถงเสี่ยวโยวเดินออกจากลิฟต์ตามลู่เหยียนจือออกมา เขากดกริ่งหน้าประตู ทั้งสองคนยืนรออยู่ที่หน้าประตูเงียบๆ ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเดียวของลู่เริ่น ลู่เหยียนจือไม่ได้มีท่าทางยโสโอหังใดๆ เขาประสานมือไว้เหมือนกับต้นสนมังกร
ประตูห้องทำงานเปิดออก ผู้ช่วยเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน ถงเสี่ยวโยวก้าวตามลู่เหยียนจือเข้าไป พื้นปูพรมขนแกะหนานุ่ม เหยียบลงไปไม่ทำให้เกิดเสียงอะไร เธอรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
ลู่เริ่นอายุเกินหกสิบแล้ว แต่มองดูแล้วยังกระฉับกระเฉงมาก เขาสวมชุดสูทจึงทำให้ดูเป็นสุภาพบุรุษมาก และเพราะอายุจึงทำให้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น บุคคลนี้เป็นตำนานที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่นมายี่สิบปี เป็นปรมาจารย์ที่ดีไซเนอร์ทุกคนยอมรับ ลู่เหยียนจือได้รับมรดกจากพ่อทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ทำให้ตำนานนี้ยืดยาวออกไป แม้ว่าวันนี้ลู่เริ่นจะรามือ ผู้อำนวยการการออกแบบของเวย์เปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถเรียกลมเรียกฝนในวงการได้
หลังจากที่ลู่เหยียนจือแนะนำ ลู่เริ่นก็ส่งนามบัตรให้กับถงเสี่ยวโยวด้วยท่าทางที่สุภาพ ขณะที่ได้เจอกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้เธออยากจะหยิบนามบัตรออกมาสักใบ แต่นามบัตรของเธอยังพิมพ์คำว่าโอลิมปิกไว้ จึงได้อ้อมแอ้มตอบไปว่า “ฉันไม่ได้เอานามบัตร…”
“นามบัตรของคุณยังเป็นของชิก อีกหน่อยก็ต้องเปลี่ยนแล้ว” ลู่เหยียนจือกู้สถานการณ์ให้เธอด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ที่จริงในใจของถงเสี่ยวโยวก็มีเรื่องที่สงสัยอยู่ วันนี้เธอมีโอกาสได้เจอกับลู่เริ่น เธอจึงอดที่จะสอบถามไม่ได้ “ขอโทษนะคะ ทำไมคุณถึงวิจารณ์ชิกแบบนั้นเหรอคะ”
ลู่เริ่นถามกลับว่า “คุณคิดว่าลู่ซิงเฉิงไม่ควรโดนวิจารณ์เหรอครับ”
“แต่ว่านิตยสารชิกเป็นเลือดเนื้อของสำนักพิมพ์ ฉันรู้สึกว่าคำวิจารณ์นั่น…มันไม่ค่อยตรงตามความเป็นจริงนัก” ถงเสี่ยวโยวแก้ตัวกลับเบาๆ โดยเฉพาะนางแบบที่ต้องยืนถ่ายแบบท่ามกลางลมหนาวนั่น บรรณาธิการที่จัดหน้าข้ามคืน ความเหน็ดเหนื่อยของพวกเขาถูกทำลายกลายเป็นขี้เถ้าเพียงเพราะคำพูดของลู่เริ่นประโยคเดียว
ลู่เริ่นยิ้ม “แฟชั่นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เป็นเรื่องผิวเผิน มันทั้งสั้นแล้วก็ไม่ปกติ ดีไซเนอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์ตัวเองกับคนอื่น” เขาพูดอย่างสุภาพพร้อมกับยื่นมือมาจับมือเธอ “หวังว่าคุณจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเวย์ เป็นดีไซเนอร์ที่ไม่ต้องการการพิสูจน์ตน”
นี่ก็ทำให้ถงเสี่ยวโยวที่ละทิ้งความฝันไปแล้วถึงกับน้ำตาไหล