แน่นอนว่าคนเราย่อมไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน ลู่เหยียนจือเป็นเด็กที่ว่าง่าย ตั้งแต่เด็กก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ โตขึ้นก็กตัญญู ส่วนลู่ซิงเฉิงเป็นโรคจูนิเบียว ตั้งแต่เด็ก ทำตัวใหญ่ตั้งแต่เด็ก โตขึ้นก็บ้าอำนาจ
แม้ว่าเขาจะกินอาหารจนหมดโต๊ะ แต่ถึงจะกินอาหารที่คนอื่นทำก็ยังไม่มีทีท่าเกรงใจแม้แต่น้อย อยากจะเรียกใช้ก็ไม่มีละเว้น อยากจะออกคำสั่งก็ออกคำสั่ง “โซฟาที่ห้องรับแขกก็ดีนะ เธอนอนที่นี่แล้วกัน”
ถงเสี่ยวโยวที่ล้างจานเสร็จก็ตั้งใจจะกลับบ้านถึงกับอึ้งไป “ให้ฉันพักที่นี่?”
ลู่ซิงเฉิงเอียงหน้าไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างยามค่ำคืน น้ำเสียงเศร้าๆ “เวินซีชอบทิวทัศน์ยามค่ำคืน เธอชอบไหม”
ชื่อของเวินซีก็เหมือนจิ้มไปที่จุดอ่อนของถงเสี่ยวโยว เธอรีบจนล้มนอนลงไป “ฉันชอบนอนบนโซฟาดูวิวยามค่ำคืน”
ลู่ซิงเฉิงใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเข้าไปห้องนอนยิ้มๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะบอกลา “ราตรีสวัสดิ์”
ตอนนี้เขาทั้งบาดเจ็บและตกงาน นอกจากนอนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถงเสี่ยวโยวไม่เหมือนกัน เธอมีนัดส่งรายงานให้กับลู่เหยียนจือในเช้าวันพรุ่งนี้เกี่ยวกับสิ่งที่สัมผัสได้หลังจากเข้ามาที่เวย์ เธอมีอาการกลัวบางอย่างตั้งแต่เล็ก นั่นก็คือโรคกลัวการหารือ พูดให้เห็นภาพก็คือเธอไม่อาจจะคุยวิจารณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองกับใครได้ ดังนั้นเมื่อคิดทบทวนดูแล้วถงเสี่ยวโยวคิดว่าตัวเองไม่อาจพูดคำพูดทั้งหมดออกมาได้ แต่ยังไงซะเขียนคร่าวๆ ไว้ก็น่าจะพอได้
เธอหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา เพียงครู่เดียวความคิดของถงเสี่ยวโยวก็พรั่งพรูออกมา ทั้งไอเดียที่อยู่ในใจ ในสมองก็มีแบบสเก็ตช์ของชุด แม้กระทั่งขนาดของกระดุมก็ยังอยากจะถกกับคนอื่น แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นลู่เหยียนจือด้วย เมื่อย้อนคิดกลับไปวันนั้นที่เขาสอนเธอทอผ้า ถงเสี่ยวโยวก็เหมือนเป็นเพียงกวางน้อยวิ่งชนไปมั่ว ที่เขียนไปอย่างรวดเร็วนั้นก็รีบลบแล้วเขียนใหม่อีกครั้ง
ประตูไม้ของห้องนอนยังเหลือช่องเล็กๆ ด้านล่างอยู่ ผู้ทรงอิทธิพลอย่างลู่ซิงเฉิงกำลังก้มอยู่ที่ร่องประตูมองลอดดูความเคลื่อนไหวด้านนอก
“เขียนรายงานยังจะเคลิบเคลิ้ม” ลู่ซิงเฉิงส่ายหน้าอย่างระอา เขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของคนประเภทนี้ได้ ชอบแล้วจะทำให้สำเร็จได้เหรอ คิดถึงจนนอนไม่หลับจะทำให้ชีวิตไปถึงจุดสูงสุดได้หรือไง ตอนนี้ในใจลู่ซิงเฉิงไม่ได้คิดอะไร มีเพียงแค่จะกลับไปยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง
เขาได้ยินว่าถงเสี่ยวโยวไปที่เวย์ หากต้องการจะจัดการกับลู่เหยียนจือกับลู่เริ่นสองพ่อลูก และจะกลับไปยืนที่จุดสูงสุดอีกครั้ง เธอคนนี้จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด นอกจากจะโง่แล้วยังอินโนเซนต์อีก แล้วยังมีใจที่ถูกคุณธรรมผูกมัดเอาไว้ได้ง่ายๆ เมื่อรวมทั้งหมดนี้แล้วมันก็เหมือนเขียนอยู่บนใบหน้าว่าให้รีบมาใช้ประโยชน์จากฉันสิ
ลู่ซิงเฉิงจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ก็ต้องเหยียบขึ้นไปสิ
ผ่านไปไม่นานถงเสี่ยวโยวก็เหมือนกับคนทั่วไปที่หลับระหว่างการทำงาน รายงานทั้งปึกถูกทับไว้ใต้แขน ลู่ซิงเฉิงผลักประตูออกไป เพื่อไม่ให้เสียงดังจนเธอตื่น เขาจึงทิ้งไม้ค้ำยันและเดินด้วยขาข้างเดียวเข้าไป
เพราะเป็นคนขายาว เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เดินไปถึงโต๊ะน้ำชา รายงานเกี่ยวกับเวย์อยู่ตรงหน้าเขา ลู่ซิงเฉิงโค้งตัวลงไปอย่างสวยๆ เพื่อจะหยิบมันขึ้นมา
ทว่าก้มลงไปหยิบ…ก็หยิบไม่ถึง
หยิบอีกครั้ง…ก็เกือบได้แล้ว
ครั้งที่สาม…ก็ยังไม่ได้อีก
เพราะขาขวาเข้าเฝือกไว้อยู่จึงไม่อาจจะงอได้ ลู่ซิงเฉิงได้แต่โน้มตัวลงไปชนกับโต๊ะน้ำชา แต่จะทำอย่างไรได้เพราะต่อจากเอวลงไปก็คือขาที่งอไม่ได้ จึงทำให้เขาไม่อาจจะแตะได้แม้แต่ขอบโต๊ะ ลู่ซิงเฉิงตัดสินใจหาอะไรมาค้ำเพื่อให้เขาสามารถโน้มเอวลงไปได้ ชั้นวางกระถางดอกไม้ข้างโซฟามีความสูงพอเหมาะพอดี ลู่ซิงเฉิงใช้มือซ้ายจับชั้นเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ยื่นไปสุดแขน ในที่สุดก็แตะที่ปลายกระดาษได้
ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม
จู่ๆ มือซ้ายเขาก็ลื่น ชั้นวางกระถางดอกไม้เสียสมดุลจึงล้มใส่หัวของถงเสี่ยวโยว ชั้นวางนั้นเป็นไม้แกะสลักรูปด้วยไม้โปร่ง แต่กระถางดอกไม้ด้านบนเป็นกระเบื้องเซรามิกน่ะสิ
กระแทกใส่หัวแม่นี่ตายไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอจะมาตายในบ้านของเขาไม่ได้
ลู่ซิงเฉิงรีบใช้ขาซ้ายเกี่ยวชั้นเอาไว้ มือทั้งสองข้างยื่นไปรับกระถางดอกไม้ที่กำลังตกลงมา
แต่เขาลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทำอะไรได้สะดวก นอกจากจะรับกระถางดอกไม้ไว้ไม่ได้แล้วยังโยนขึ้นไปในอากาศอีก
และในขณะนั้นเองถงเสี่ยวโยวก็ลืมตาขึ้นมาเหมือนกับโชคช่วยเอาไว้ สายตาก็ทันเห็นกระถางดอกไม้ที่โยนขึ้นไปสูงมาก แล้วมันก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ตามด้วยเสียงดังปัง
ลู่ซิงเฉิงล้มจนลุกไม่ขึ้น
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 64)