เสียกเรียกเข้ามือถือของถงเสี่ยวโยวดังขึ้น เธอหยุดยืนรับโทรศัพท์อยู่หน้าห้องคนไข้ คนที่โทรเข้ามาคือซ่งหรูหรู “เสี่ยวโยว นิตยสารฉันจะไปภูเขาเหมาซันเพื่อฝึกตนกันอย่างเร่งด่วน ฉันเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็จะออกเดินทางเลย เธออยู่ที่ไหน”
ถงเสี่ยวโยวหันกลับไปมองในห้องคนไข้แวบหนึ่งแล้วตอบไปว่า “อยู่ที่อูฐผอมตายนี่ไง”
อูฐที่ผอมตายยังใหญ่กว่าม้า แต่หงส์ที่ถูกถอนขนก็สู้ไก่ไม่ได้ ที่ผ่านมาลู่ซิงเฉิงไม่ใช่อูฐที่อดทนทำงานหนักโดยไม่พูดอะไร เขาเป็นหงส์ที่มีสีสันงดงาม ดื่มเพียงน้ำค้างยามเช้า กินยอดไผ่อ่อน พักผ่อนอยู่ที่ต้นอู๋ถงเท่านั้น
แดลี่กอบกระดาษทิชชูสกปรกออกมา ถงเสี่ยวโยวถามเรื่องที่สงสัยมานาน “เขาเป็นยังไงบ้าง” เธอเจอลู่ซิงเฉิงเมื่อคราวที่แล้วเขายังขับเฟอร์รารี่อยู่เลย
“อ้อ ประมาณว่าเงินที่เอาไปลงทุนเกิดขาดทุน ทำร้ายคนอื่นก็ต้องชดใช้ รถชนก็ต้องชดใช้ ซ้ำยังขาดรายได้ เดิมใช้เงินอย่างกับเบี้ยก็ไม่มีเงินเหลืออยู่แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งค่าส่วนกลางก็ไม่มีจะจ่าย” แดลี่บอกเล่าโศกนาฏกรรมของลู่ซิงเฉิงในอาทิตย์นี้อย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับเป็นซับไตเติ้ล
ในคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ ถงเสี่ยวโยวก็สามารถเห็นภาพได้เป็นฉากๆ บางทีเพราะโลกนี้ไม่มีการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นด้วยตัวเองอยู่ แต่เพราะเธอเป็นเทพแห่งความโชคร้าย แม้จะไม่ได้ผ่านเรื่องเหล่านี้มาเองแต่ก็สามารถคิดถึงความอเนจอนาถนี้ได้เพราะเคยสัมผัสมาก่อน
แดลี่โยนกระดาษทิชชูทิ้งไป สะบัดมืออย่างรังเกียจ “เอาล่ะ ฉันต้องกลับก่อนล่ะนะ ไม่งั้นซาร่าห์ หลินคงไม่ปล่อยฉันแน่ๆ”
ถงเสี่ยวโยวแสดงสีหน้าทุกข์ใจ อดที่จะถามแดลี่ไม่ได้ “แล้วทำไมแม้แต่คนที่เขาเคยดันให้ดังก็ไม่มีใครมาช่วยพูดให้เขาเลยเหรอ” คนที่เกลียดเขาจะซ้ำเติมก็เข้าใจได้ แต่คนที่เขาเคยทำให้ดังขึ้นมาล่ะ
“เพราะไม่มีใครกล้ายืนบนคุณธรรมระดับสูงน่ะสิ คุณมีน้ำใจก็เป็นการบอกว่าคนอื่นเนรคุณ คุณกล้าจะพูดความจริงก็กำลังบอกเป็นนัยว่าคนอื่นเย็นชาไร้ความรู้สึก” แดลี่ยิ้ม “แม้แต่ฉันก็ไม่มีทางจะจากชิกไปเพราะเขาเด็ดขาด”
ถงเสี่ยวโยวอึ้งไปเลย
แดลี่ตามลู่ซิงเฉิงโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นมานานหลายปี เข้าใจกฎของวงการนี้ดี “ไม่มีใครจะเห็นใจผู้แพ้ แต่คุณเป็นผู้แพ้เพียงคนเดียวที่ลู่ซิงเฉิงรับเอาไว้”
ถงเสี่ยวโยวเดินกลับไปห้องคนไข้ ลู่ซิงเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงหลับไปแล้ว หากไม่มีเรื่องราวที่ผ่านมา ตอนนี้ลู่ซิงเฉิงก็ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเลย แม้ตอนนี้เขาจะนอนหลับ แต่ความยโสของเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
การดังชั่วข้ามคืนทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตื่นขึ้นมาแล้วเสียชื่อเสียงไปหมดสิ้น ในชีวิตของลู่ซิงเฉิงคงไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้จะอเนจอนาถแต่ก็ยังไม่เสียสติ ถงเสี่ยวโยวนับถือเขาจริงๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออก ลู่เหยียนจือนำผู้ก่อเหตุที่ยังยโสมาที่โรงพยาบาล มู่หยางมีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเข้ามาถึงก็โวยวาย “ลู่ซิงเฉิงยากจนจนเสียสติแล้วใช่ไหม รถฉันขับช้าขนาดนั้นยังจะชนเข้ามาได้อีก นี่ตั้งใจจะเรียกเงินหรือเปล่า”
ทันทีที่เขาพูดจบ ท้ายทอยก็ถูกตบเข้าอย่างแรง เวินซีเป็นสาวสวยหาใครเทียบไม่ได้จริงๆ แม้แต่วิธีการตบคนก็ยังเท่เหลือเกิน เมื่อถูกตบมู่หยางก็สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ เขาทำปากยื่นไปยังลู่ซิงเฉิงที่อยู่บนเตียง “พิการหรือยัง”
“กระดูกแตก ต้องเข้าเฝือก หมอบอกว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้” ถงเสี่ยวโยวตอบ
“งั้นก็ไม่สาหัสสิ” มู่หยางค้อนไปที “เขานอนลงได้ทุกอย่างก็สงบสุข”