ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้นถงเสี่ยวโยวมาโรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลของลู่ซิงเฉิง เธอตั้งใจจะใช้เงินที่เวินซีให้มาจ้างพยาบาลเพื่อดูแลลู่ซิงเฉิง แล้วก็ไปช่วยเขาจ่ายค่าส่วนกลาง เหตุผลก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว บอกว่านี่คือการตอบแทนที่เขาไม่ไล่เธอออกหลังจากที่ร่วมรายการสถานีถัดไป รันเวย์
บนโลกมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง เขาสูงส่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งหรือมีสถานะทางสังคมที่สุดยอดอะไร ต่อให้เขาเป็นคนที่สูญเสียอำนาจไป แต่ก็ยังคงสูงส่งอยู่ ยังคงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ลู่ซิงเฉิงเป็นคนที่สวรรค์เลือกแล้ว
“คนที่ไม่ให้ไล่เธอออกก็คือเวินซี เธอไปตอบแทนเขาสิ” ลู่ซิงเฉิงนอนพิงอยู่บนเตียงคนไข้ กำลังเปิดดูนิตยสารแฟชั่นฉบับหนึ่งอยู่
นี่มันทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ถงเสี่ยวโยวกำบัตรเอทีเอ็มเอาไว้โดยไม่รู้จะทำยังไงต่อดี
ดูท่าทางนิตยสารฉบับนี้ไม่ได้ทำให้เขาพอใจ ลู่ซิงเฉิงโยนไปข้างๆ อย่างรังเกียจแล้วปรายตามองเธอ “ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอ เก็บความเห็นใจไร้สติของเธอเอาไว้ อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะไม่ต้องรู้สึกผิดต่อฉันอีก”
เมื่อพูดขึ้นมาถงเสี่ยวโยวก็เหมือนถูกมีดแทงเข้าอย่างแรง ก็จริง เดิมก็คิดว่าอูฐผอมตายยังไงก็ใหญ่กว่าม้า เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกผิดมากเหลือเกิน แดลี่พูดถูก คนเราอย่ามีระดับคุณธรรมสูงนัก หากถูกคุณธรรมผูกมัดเมื่อไหร่ก็เรียกว่าถูกจูงจมูกเมื่อนั้น
ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “งั้น…จะทำยังไง”
ลู่ซิงเฉิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา ดวงตาที่เย็นชามาตลอดคู่นั้นมีประกายออกมา เขากระดิกนิ้วเรียกถงเสี่ยวโยว “ฉันจะให้เธอดูแลฉัน”
ห้องรับแขกในคอนโดฯ ของลู่ซิงเฉิงมีเก้าอี้นวดแสนสบายอยู่หนึ่งตัวซึ่งหันไปทางกระจกบานใหญ่ ทางนอกหน้าต่างก็สามารถมองเห็นป้ายโฆษณาของตึกบริษัทเวย์ที่อยู่ใจกลางเมือง เมื่อตึกนี้เปิดไฟขึ้นในตอนกลางคืน ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่สว่างไสวที่สุดของเมืองซี
ในเวลานี้ลู่ซิงเฉิงกำลังนั่งพิงอยู่ที่เก้าอี้นวดอย่างเกียจคร้าน ตาก็มองไปที่ถงเสี่ยวโยวที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวแบบเปิด เข้าไปที่เวย์แล้วยังไง ผู้ช่วยของเขาลู่ซิงเฉิง ใครก็อย่าคิดที่จะแย่งไปได้
“เดี๋ยวก็กินข้าวได้แล้ว” ถงเสี่ยวโยวผัดกับข้าวในกระทะพร้อมกับพูดไปด้วย
ลู่ซิงเฉิงนอนเกียจคร้านบนเก้าอี้ไม่ยอมขยับตัว เขายื่นมือทั้งสองออกไปพร้อมกับพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันยังไม่ได้ล้างมือ”
ถงเสี่ยวโยวตักกับข้าวจากกระทะใส่จานด้วยความรวดเร็ว แล้วไปห้องน้ำบิดผ้าขนหนูมาให้ลู่ซิงเฉิงเช็ดมือ มือของขุนพลลู่เคยใช้ชี้ชะตาบ้านเมืองและเรียกลมเรียกฝนด้วย จะดูแลแบบขอไปทีได้อย่างไร
“ทำไมเย็นอย่างนี้ ตอนนี้ฉันออกกำลังกายไม่ได้ ระบบปลายประสาทก็ไม่ค่อยดี เธออยากให้ฉันพิการใช่ไหม”
เขาพูดแล้วดูเหมือนจะมีเหตุผล ถงเสี่ยวโยวรู้สึกผิดที่ไม่ละเอียดพอ จึงรีบใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาส่งให้ ลู่ซิงเฉิงวางหน้ามือและหลังมือทั้งสองข้างลงบนผ้าขนหนูอุ่นๆ ด้วยท่าทางที่งดงาม แล้วก็มีขันทีถงเสี่ยวโยวประคองไปที่โต๊ะอาหารประหนึ่งไทเฮา
บนโต๊ะมีกับข้าวสามอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่ง ก็คือสันในเปรี้ยวหวาน ผัดผักสามอย่าง ผักกาดผัดกระเทียม ซุปขาหมูตุ๋นถั่วเหลือง
เซ็ตอาหารสมบูรณ์แบบ
ลู่ซิงเฉิงหยิบตะเกียบออกมาอย่างเชิดๆ เขี่ยไปที่สันในก่อน “ไขมันหนึ่งกรัมทำให้เกิดพลังงานเก้ากิโลแคลอรี” แล้วก็เขี่ยผัดผักสามอย่าง “มันฝรั่งที่ทอดในน้ำมันหนึ่งร้อยกรัมจะให้พลังงานหกร้อยสิบสองกิโลแคลอรี” สุดท้ายตะเกียบก็ไปหยุดห่างจากผักกาดผัดกระเทียมหนึ่งเซนติเมตร เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นมา “กระเทียมบด โอ้ สวรรค์ เธอเป็นผู้หญิงที่กินกระเทียมด้วย? หรือว่าเธอจะกินทุเรียนด้วย”
ถงเสี่ยวโยวพยักหน้า “ใช่ ฉันกิน”
ลู่ซิงเฉิงวางตะเกียบลง เลิกคิ้วมองไปที่ถงเสี่ยวโยว “แล้วยังซุปขาหมูต้มถั่วเหลือง ฉันอยู่ในช่วงเร่งน้ำนมหรือไง ไม่เพิ่มปลาตะเพียนเข้าไปตุ๋นด้วยเลยล่ะ”
หลายปีที่ผ่านมาลู่ซิงเฉิงเคยชินกับการเอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมคนอื่น ในเมื่อเขาอยู่บนเหตุผล ทำไมเขาถึงต้องยอมให้คนอื่นล่ะ
ถงเสี่ยวโยวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา “ฉันไปถามแดลี่มาแล้วนะ เขาบอกว่าอาหารพวกนี้คืออาหารที่คุณชอบ ส่วนขาหมูฉันเพิ่มเข้าไปเอง เหมาะกับช่วงที่คุณบาดเจ็บ”
“ที่ฉันกินเป็นฝีมือของเชฟในโรงแรมเซ็นเตอร์ พวกเขาเข้มงวดเรื่องการควบคุมน้ำมันที่อยู่ในอาหารรวมทั้งสัดส่วนของโปรตีนกับไฟเบอร์ เธอที่คิดเลขไม่เป็นเหมาะที่จะทำแค่มะเขือเทศผัดไข่ เข้าใจไหม” ลู่ซิงเฉิงให้ศูนย์คะแนนสำหรับอาหารบนโต๊ะนี้อย่างเลือดเย็น “ช่างเถอะ ฉันกินอย่างละคำ ที่เหลือเธอกินให้หมด กินทิ้งกินขว้างจะต้องตกนรก”