Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 1
(5)
ช่วงสายวันอังคาร คนในสถานีต่างพักผ่อนกันอยู่ เมื่อวานซังอู๋เยียนลืมมือถือเอาไว้ในลิ้นชัก ก็เลยขี่จักรยานโซซัดโซเซกลับไปเอาที่สถานีด้วยตัวเอง
เธอจอดจักรยานเอาไว้ที่ด้านนอกแล้วขึ้นลิฟต์ไป
ปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังรอลิฟต์อยู่ที่นั่นเหมือนกัน บังเอิญมากๆ เลย เขาก็คือผู้ชายที่มีดวงตาน่าหลงใหลที่เจอกันที่ริมทะเลสาบเมื่อคราวก่อนคนนั้น แต่ว่าในตอนนี้สีหน้าของเขากลับค่อนข้างเอาจริงเอาจัง มือจับไม้เท้าเอาไว้
ไม้เท้าโลหะสีขาวธรรมดาๆ เพรียวบาง ดูท่าทางน้ำหนักเบา
ซังอู๋เยียนสงสัย คนคนนี้อายุยังน้อย ต้องพยุงไม้เท้าแล้วเหรอ
ชายหนุ่มรูปร่างตรงสูง เพียงแค่ดูจากสัดส่วนแล้วค่อนข้างผ่ายผอม ตัวก็เล็ก คนที่มีพวงแก้มมีเบบี้แฟตอย่างซังอู๋เยียนกลายเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเขายืนตัวตรงอยู่ตรงกันข้ามกับประตูลิฟต์พอดี ยืนรอให้ลิฟต์ลงมาเงียบๆ แววตาไม่มีความรีบร้อนเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ซังอู๋เยียนมาแล้ว เขาก็ขยับออกไปด้านข้างครึ่งก้าวอย่างมีมารยาท
ซังอู๋เยียนเพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจ ในเวลานี้นอกจากคนที่เข้ากะแล้วก็แทบจะไม่มีคนใช้ลิฟต์ ทำไมถึงได้มีหนุ่มหล่อแบบนี้อยู่ที่นี่ล่ะ หรือว่ามาคุยเรื่องโฆษณานะ
ไม่รู้ว่าเขารู้สึกได้ว่าซังอู๋เยียนกำลังพิจารณาเขาอยู่หรือว่าอย่างไร ชายคนนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย ซังอู๋เยียนจึงรีบเก็บสายตากลับไป
เธอรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังแผงจอของลิฟต์ มองตรงไปยังตัวเลขที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เก้า แปด เจ็ด…
ขณะนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อืม ผมจะขึ้นไปเอง คุณไม่ต้องลงมาหรอก”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ชายหนุ่มก็ตอบกลับไปเรียบๆ ว่า “แนวตั้งทางซ้ายมือ แถวที่สามจากบนลงล่าง ผมจำได้แล้ว”
จากนั้นก็วางสายไป
การคุยโทรศัพท์ที่สั้นกระชับและเข้าใจแจ่มแจ้งแบบนี้ เรียบง่ายเสียจนกระทั่งรู้สึกว่าค่อนข้างเย็นชา อีกทั้งยังเจือด้วยความเหนื่อยหน่ายรำไร
ช่างเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ซังอู๋เยียนจำกัดความให้
‘ติ๊งต่อง’ ลิฟต์มาแล้ว
ชายหนุ่มชะงัก อย่างกับว่าจะให้เธอเข้าไปก่อน
เลดี้เฟิร์สต์ เหตุผลเป็นอย่างนั้น ซังอู๋เยียนจึงก้าวเข้าไปก่อนโดยไม่ลังเล จากนั้นก็หันไปกดปุ่มเลขชั้นถึงได้พบว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวมาข้างหน้า เขากดไม้เท้าให้ต่ำลงแล้วเคาะที่ประตูลิฟต์เบาๆ ทั้งซ้ายและขวา จากนั้นจึงเอื้อมมือประคองตัวกับวงกบลิฟต์แล้วค่อยก้าวเข้ามา
ซังอู๋เยียนที่ยืนอยู่กับที่ปากอ้าตาค้าง
เขาเป็นคนตาบอด!
ไม้เท้าสีขาวที่ทำด้วยโลหะธรรมดาๆ ก็คือไม้เท้านำทาง
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอมองไปยังดวงตาของเขาอีกครั้ง สายตาของเขาตกกระทบไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป ไม่มีจุดโฟกัสจริงๆ ด้วย ดวงตาดำขลับคู่นั้นใสสะอาดเป็นประกาย มันสวยงาม ทว่ากลับมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น…
เมื่อเกิดเสียงดัง ‘ปึง’ ซังอู๋เยียนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองหดลีบลงอย่างรุนแรง จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายออก บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร
เสียใจ เสียดาย เห็นอกเห็นใจ เวทนาสงสาร หรือว่าปลงตก…ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาในใจทั้งหมดแล้ว
นึกย้อนกลับไปตอนรุ่งเช้าที่เจอกันครั้งแรกในสวนสาธารณะ เขานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบเป็นนานสองนาน อยู่ในท่าหลับตา ตอนนั้นเขากำลังทำอะไรอยู่นะ กำลังใจจดใจจ่อฟังเสียงของโลกใบนี้ หรือว่ากำลังคาดหวังอย่างเงียบๆ รอให้แสงอาทิตย์ตกกระทบที่ดวงตากันแน่?
ภายในลิฟต์ซังอู๋เยียนยืนอยู่ข้างหลัง เขายืนอยู่ข้างหน้า
เดิมทีซังอู๋เยียนคิดว่าชายหนุ่มจะขอให้เธอช่วยกดลิฟต์ให้ แต่ก็ไม่เห็นเขาเอ่ยปากเสียที เธอจึงเอ่ยถามเขาก่อน “ให้ช่วยอะไรไหมคะ”
เขาชะงักไป สักครู่จึงหันหน้ามา จากนั้นก็มองตรงไปข้างหน้า เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ไม่ต้อง ขอบคุณครับ”
หลังจากสองคำนั้น เขาก็เม้มปากเอาไว้แน่น
มารยาทในการปฏิเสธคนอย่างกับว่าอยู่ห่างกันไกลแสนไกลทำให้ซังอู๋เยียนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าความรู้สึกไม่สบอารมณ์นี้ถูกความเห็นอกเห็นใจที่มีอยู่มากเป็นล้นพ้นกลบจนมิด
เธอเห็นเขายกมือขวาขึ้น ใช้มือคลำไปยังปุ่มกดทั้งสองแถวที่ด้านขวาของประตูลิฟต์ จากบนลงล่าง นิ้วมือลูบผ่านผิวสัมผัสไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงเลื่อนลงไปข้างล่าง
ปุ่มลิฟต์มีทั้งหมดสองแถว เขาลูบไปยังแถวที่อยู่ด้านขวามือ
ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปยังชั้นบน ซังอู๋เยียนคิดอยู่ว่าเขาจะขึ้นไปแค่ชั้นสองหรือเปล่า จนกระทั่งเขากดปุ่ม ลิฟต์ก็เลยผ่านจุดหมายไปแล้ว ดังนั้นใจของซังอู๋เยียนจึงรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
นิ้วมือของเขาประสาทสัมผัสไวมาก เมื่อสัมผัสกับปุ่มแรก ‘สิบสอง’ เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วจึงเลื่อนลงข้างล่างต่อไป
มองนิ้วมือที่เฉียดผ่านปุ่มเหล่านั้นไปอย่างเชื่องช้า จู่ๆ ซังอู๋เยียนก็นึกถึงตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาได้
เขาบอกว่า ‘แนวตั้งทางซ้ายมือ แถวที่สามจากบนลงล่าง ผมจำได้แล้ว’ นั่นเป็นขั้นตอนที่คนอื่นอธิบายให้เขาฟังว่าจะกดปุ่มลิฟต์อย่างไร เพราะปุ่มของลิฟต์ตัวนี้ไม่มีสัญลักษณ์ตัวอักษรเบรลล์
เขาคลำไปถึงปุ่ม ‘สิบ’ ก็หยุดลง แล้วกดลงไปอย่างไม่ลังเล
แต่ว่าซังอู๋เยียนกลับตะลึงงัน ไฟของชั้นสิบกลับดับลงเสียอย่างนั้น
ความพิเศษของลิฟต์สถานีตัวนี้ก็คือเมื่อกดปุ่มชั้นใดชั้นหนึ่งลงไปสองครั้งก็แปลว่ายกเลิก ซังอู๋เยียนเองก็จะขึ้นไปที่ชั้นสิบพอดี ทำกลับไปกลับมาแบบนี้ก็หมดกันน่ะสิ
ชายหนุ่มไม่รับรู้เลยสักนิด ดูเหมือนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง
ซังอู๋เยียนครุ่นคิด แล้วจึงเอื้อมมือออกไปเบาๆ อ้อมไปทางด้านข้างของเขา จากนั้นก็กดลงบนปุ่ม ‘สิบ’ อีกครั้งเงียบๆ การกระทำทั้งหมดซังอู๋เยียนมั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ได้ ถึงได้วางใจ
ซังอู๋เยียนทำได้แต่เพียงถอนใจอยู่ภายในใจเท่านั้น ทำอย่างกับว่าเป็นโจร เธอลูบไปที่กระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว ไม่มีกุญแจ
“ว้าย!” เธออดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตื่นตะลึง
เสียงเอะอะแบบนี้ระคายหูเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในลิฟต์
ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหว
ซังอู๋เยียนปิดปากเอาไว้ จากนั้นก็รื้อหาในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ก็ยังไม่มีเหมือนเดิม
เธอขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ประมาณสองวินาที รู้สึกเหมือนกับว่าจะลืมล็อกรถจักรยาน แล้วกุญแจก็คล้องอยู่กับตัวล็อกรถและวางอยู่ด้วยกันในตะกร้าจักรยาน
ซังอู๋เยียนมองหน้าจอแวบหนึ่ง เห็นว่าเพิ่งถึงชั้นหกก็เลยกดไปที่ปุ่มชั้นเจ็ดอย่างรีบร้อน รอจนลิฟต์หยุด เมื่อประตูเปิดแล้วเธอก็พุ่งตัวออกไป เตรียมตัวเปลี่ยนลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นล่าง
ระหว่างที่ซังอู๋เยียนรอคอยอยู่ด้วยความรีบร้อนก็ชำเลืองมองชายหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าดวงตาสดใสคู่นั้นกำลังหายลับไปหลังประตูลิฟต์อย่างช้าๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.