Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 2
บทที่ 2 อาจารย์ตาบอด
(1)
เดิมทีช่วงสายวันอังคารเป็นเวลาของการอัดเสียงสัมภาษณ์ แต่เนี่ยซีกลับบอกซังอู๋เยียนว่าไม่ต้อง เตรียมรายการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“สัมภาษณ์ใครเหรอคะ” ซังอู๋เยียนถาม
เนี่ยซีหัวเราะอย่างมีลับลมคมใน “เก็บเป็นความลับชั่วคราวจ้ะ รอจนถึงกลางคืนเดี๋ยวออกอากาศเธอก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง”
ซังอู๋เยียนเหลือบมองเนี่ยซีที่ใบหน้าอิ่มเอิบด้วยความสุข นานๆ จะได้เห็นเธอดีอกดีใจขนาดนี้ ดูท่าจะไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว เรื่องนี้ซังอู๋เยียนกลับไม่ได้ใส่ใจ หันหลังได้ก็ลืมหมดแล้ว
แต่ปัญหาในการสัมภาษณ์งาน มหาวิทยาลัยเปิดวิชาจำพวกแนะแนวการทำงานตั้งแต่ปีสามแล้ว เทอมนี้คณะได้เชิญอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์มาสอน ‘การเข้าสังคมและการใช้คำพูด’ ตอนบ่ายมีเรียนวิชานี้สองคาบพอดี แต่ไม่คิดว่าพอมาถึงที่มหาวิทยาลัย ซังอู๋เยียนกลับเห็นที่กระดานดำเขียนประกาศไว้ว่าอาจารย์มีธุระกะทันหัน เปลี่ยนไปเป็นตอนกลางคืน
อาจารย์คนนี้แม้ว่าจะไม่เคยเช็กชื่อ แต่ว่าสอนสนุกสุดๆ ดังนั้นจึงมีคนโดดเรียนไม่มาก
อย่างเช่นเขากล่าวในคาบเรียนหนึ่งว่า “ถ้าวิเคราะห์จากด้านจิตวิทยาแล้วล่ะก็ ระหว่างที่คนเราสนทนากันอยู่นั้นจะเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวใหญ่ๆ สามประการ ได้แก่ ความหวาดกลัวจากความไม่คุ้นเคย ความหวาดกลัวจากตำแหน่งสูงๆ และความหวาดกลัวจากองค์ประกอบ ระดับของความหวาดกลัวนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคนเพราะว่าประสบการณ์ต่างกัน แต่ว่าต่างก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การสัมภาษณ์งาน สัมภาษณ์สอบเข้าปริญญาโท และก็การสัมภาษณ์เป็นพนักงานรัฐล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่รวบรวมความกลัวใหญ่ๆ เหล่านี้ไว้ด้วยกัน ดังนั้นถึงได้มีผู้คนมากมายรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่”
นักศึกษาที่อยู่ด้านล่างถามขึ้นมา “อาจารย์คะ ตอนที่อาจารย์เผชิญหน้ากับพวกเรามีความหวาดกลัวจากองค์ประกอบเหล่านี้ไหมคะ”
อาจารย์หัวเราะออกมา “มีสิ อย่างเช่นที่ตอนนี้เธอลุกขึ้นถามคำถาม ถึงอาจารย์จะไม่ได้แสดงสีหน้า แต่ว่าก็รู้สึกตกใจอยู่ในใจเหมือนกัน กลัวว่าเธอจะถามอะไรที่ทำให้อาจารย์อึดอัดใจน่ะสิ”
หลังจากเลิกเรียน เมื่อซังอู๋เยียนกลับมาที่ห้องพักจึงฉุกคิดได้ว่าคืนนี้การสัมภาษณ์ลึกลับของเนี่ยซีจะออกอากาศ เธอเพิ่งจะเปิดวิทยุก็ได้ยินเสียงเนี่ยซีกล่าวว่า “วันนี้ต้องขอบคุณคุณอีจินจากใจจริงเลยนะคะที่หาเวลาว่างมารายการของพวกเราได้ทั้งๆ ที่ก็ยุ่งมากทีเดียว”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
เสียงที่ตอบกลับเนี่ยซีเป็นเสียงของผู้ชาย ฟังดูแล้วค่อนข้างทุ้มต่ำ แต่เจือด้วยน้ำเสียงที่ดึงดูดใจให้ฟัง
อีจินงั้นเหรอ?!
ซังอู๋เยียนเบิกตากว้างมองไปยังเฉิงอิน
“แต่ดูเหมือนว่ารายการจะจบแล้วนะ” เฉิงอินโจมตีเธอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซังอู๋เยียนได้ยินข่าวคราวที่เกี่ยวกับอีจิน แม้ว่าจะเป็นเพียงสองคำเรียบๆ จากปากของชายหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษที่โดดเด่น แต่กลับแฝงด้วยสีสันอย่างน่าอัศจรรย์
เขากล่าวว่าไม่ต้องขอบคุณหรอก
ประโยคหนึ่งที่ไร้ซึ่งที่มาที่ไปทำให้เธออดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปไกลแสนไกล ชายหนุ่มคนนี้จะตัวสูงหรือว่าตัวเตี้ย อ้วนหรือว่าผอม เป็นคนโลกส่วนตัวสูงหรือว่าเปิดเผย…ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหาข้อสรุปได้
ซังอู๋เยียนมองเหม่อไปยังวิทยุ ผ่านไปเนิ่นนานจึงใช้เสียงนั้นต่างหมอนแล้วหลับไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาด
บ่ายวันต่อมาเธอไม่ได้เข้าเรียน เดิมทีนี่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนในเวลาเข้างานหรือเลิกงาน ดังนั้นคนบนรถเมล์หมายเลขหนึ่งศูนย์หนึ่งจึงน้อยลงไปอีก ซังอู๋เยียนขึ้นรถมาได้ก็หาที่นั่งได้ที่แถวสุดท้ายติดหน้าต่าง
รถเมล์หมายเลขหนึ่งศูนย์หนึ่งเป็นรถขนส่งสาธารณะสำหรับเที่ยวชมทิวทัศน์ของเมือง A ตั้งแต่บริเวณเมืองไปจนถึงบริเวณสถานที่ท่องเที่ยว วนเวียนไปกลับระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของเมือง คนในพื้นที่ไม่ค่อยนั่งกัน อย่างแรกเพราะว่าเส้นทางอ้อมไปไกล อย่างที่สองเพราะว่าแพงกว่าขนส่งสาธารณะทั่วไปอยู่เล็กน้อย
ทว่าหากว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ซังอู๋เยียนก็มักจะจ่ายเงินสามหยวนเพื่อนั่งรถวนอ้อมเมืองเอ้อระเหยอยู่ครึ่งค่อนวัน ส่วนมากไม่ว่าเวลาไหนผู้โดยสารก็น้อย หร็อมแหร็มบางตา เธอชอบที่จะฟังเพลงพลางมองเหม่อออกไปข้างนอกเพื่อคิดเรื่องราวภายในใจ นี่แหละคือซังอู๋เยียนที่เป็นคนโลกส่วนตัวสูง เธอขี้ขลาดและเก็บความรู้สึกต่อหน้าคนแปลกหน้ามาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอถึงได้เริ่มมีนิสัยร่าเริงเพิ่มมากขึ้นช้าๆ
ขณะที่อยู่บนรถเมล์สายนี้ ซังอู๋เยียนก็ได้ยินการออกอากาศซ้ำของรายการที่เนี่ยซีสัมภาษณ์อีจินเมื่อวานนี้
ตอนนั้นมีฝนเม็ดละเอียดตกปรอยๆ อยู่ที่นอกหน้าต่าง สายฝนในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างซาบซึ้งกินใจ อากาศทั่วทั้งเมืองเองก็เย็นสบายและสดชื่นยิ่งขึ้นด้วยการชะล้างจากสายฝน
ในรถมีคนอยู่ไม่มาก เธอได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนนั้นอีกครั้งในรายการที่ออกอากาศบนรถ
คราวนี้เธอได้ยินอย่างชัดเจนเอามากๆ
เสียงผู้ชายที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ น้ำเสียงทุ้มต่ำละเมียดละไมคมคาย ทั้งในน้ำเสียงยังเจือด้วยความรู้สึกเฉยเมย ทุกประโยคที่เนี่ยซีเอ่ยถาม เขาจะตรึกตรองอยู่สักครู่ แล้วจึงตอบออกมาอย่างง่ายๆ เป็นคนพูดน้อยเชียวล่ะ
“เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าจะเดินทางบนเส้นทางการเขียนเพลงคะ ตอนเด็กๆ มีความฝันจะเขียนโคลงกลอนรึเปล่า” เนี่ยซีเอ่ยถาม
“เป็นเรื่องที่ทำได้โดยบังเอิญน่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลย” เขาตอบ
“คุณอีจิน ทั้งๆ ที่คุณมีแฟนเพลงมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงได้จงใจหลบเลี่ยงสาธารณชนล่ะคะ” เนี่ยซีเอ่ยถาม
“เพื่อรักษาพื้นที่ชีวิตส่วนตัวเอาไว้ครับ”
“เพราะเหตุผลนี้อย่างเดียวหรือคะ”
“จะมีอะไรอีกล่ะครับ” เขาถามกลับ
“คุณประสบความสำเร็จในวงการถึงขนาดนี้ แต่ได้ยินมาว่าคุณยังมีอาชีพอื่นอีก หรือว่าการเขียนเพลงจะเป็นอาชีพรองของคุณคะ”
“ใช่ครับ”
เขาตอบคำถามนี้อย่างไม่ลังเล สองคำสั้นกระชับได้ใจความ ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งในความสามารถของตัวเอง ทว่าซังอู๋เยียนที่นั่งอยู่ที่แถวสุดท้ายกลับหัวเราะออกมาเบาๆ อาจเป็นเพราะว่าเขาอยากถ่อมตัวสักหน่อย แต่พอตอนนั้นเนี่ยซีถามเขารวดเดียวถึงสองคำถาม เขาขี้เกียจจะสิ้นเปลืองถ้อยคำจึงกล่าวยืนยันออกไปพร้อมๆ กัน
จากนั้นโฆษณาจากวิทยุตัวหนึ่งก็แทรกขึ้นมา
หรือว่า
ผ่านไปสักครู่ซังอู๋เยียนก็มองไปที่นอกหน้าต่าง พลางคิดขึ้นอีก หรือว่าเดิมทีเขาเป็นคนเย่อหยิ่งแบบนี้อยู่แล้วนะ
“คุณอีจิน ชื่อในวงการของคุณมีความหมายแฝงรึเปล่าคะ หนึ่งคืนหนึ่งวัน ก็เลยใช้ชื่อที่แฝงความหมายว่าอีจิน* รึเปล่าคะ หรือเพื่อระลึกถึงเรื่องอะไร หรือว่าใคร”
“เปล่าครับ แค่เพราะจำนวนขีดน้อยน่ะ” เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ซังอู๋เยียนล่ะนับถือในตัวเนี่ยซีเลย ทำงานกับคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้ก็ยังสามารถดำเนินรายการไปได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าเป็นเธอแล้วล่ะก็ จะต้องมีเดดแอร์บ่อยแน่ๆ
“ก่อนหน้านี้หลายเดือน มีแฟนเพลงสาวคนหนึ่งสวมรอยเป็นคุณบนอินเตอร์เน็ต ทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่ออกมาแก้ข่าวล่ะคะ”
“ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงน่ะ”
“เพลงที่คุณเขียนหลายเพลงทำให้แฟนเพลงผู้หญิงประทับใจจำนวนไม่น้อยเลย อย่างเช่น ‘ท้องนภาสีคราม’ ‘เปลือกหอยลิเบีย’ ในนั้นมีเรื่องราวของตัวคุณเองอยู่รึเปล่าคะ”
“ไม่มีหรอก ผมน่ะ…?”
ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เขาพูดออกมาในรายการเลยก็ได้ แต่ว่ากลับถูกเสียงประกาศของสถานีกลบทับเสียก่อน จากนั้นก็มีผู้โดยสารขึ้นมาเยอะแยะ คนขับรถจึงปิดวิทยุทันที
เสียงของเขาก็เลยค่อยๆ เลือนหายไปจากห้วงความคิดของเธอ
ซังอู๋เยียนเกิดความรู้สึกท้อใจบางอย่าง
เธอกับอีจินอยู่ในเมืองเดียวกันแท้ๆ หายใจเข้าออกด้วยอากาศจากพื้นที่เดียวกัน เวลาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก็เห็นท้องฟ้าผืนเดียวกัน