Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 2
(5)
ซังอู๋เยียนอยู่ที่โรงเรียนได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ ก็ตัวติดสนิทสนมกับอาจารย์เสี่ยวหวังที่เพิ่งถูกส่งตัวมาเมื่อปีก่อน
“เขาไม่ใช่ครูของที่นี่น่ะ” เสี่ยวหวังกล่าวขึ้นมาตอนที่พูดถึงซูเนี่ยนชิน
“คะ?”
“เดิมทีอาจารย์เจิ้งที่สอนอักษรเบรลล์คลอดลูกก็เลยลาคลอดไป อาจารย์สวีก็ปลดเกษียณ ตอนแรกโรงเรียนจะกลับมาจ้างเธออีก แต่สุดท้ายเธอต้องไปเลี้ยงหลานที่ต่างเมือง ก็เลยขาดครูสอนอักษรเบรลล์ ผู้อำนวยการเผยสนิทสนมกับอาจารย์ซูพอดี จึงให้เขาเข้ามาสอนแทน เห็นอย่างนี้ก็สอนแทนมาได้ครึ่งปีแล้วล่ะมั้ง”
“งั้นตอนแรกเขาทำงานอะไรเหรอคะ สอนหนังสืออยู่ที่อื่นเหรอ”
“ไม่รู้สิ” เสี่ยวหวังส่ายหน้า “เขาไม่เคยพูดคุยกับพวกเรามาก่อนเลยน่ะ”
“อ๋อ”
“แต่ว่าตาเขาเป็นแบบนี้ จะทำอะไรได้ล่ะ” เสี่ยวหวังถามกลับ
ซังอู๋เยียนยักไหล่ ประเดี๋ยวก็หมุนปากกาเซ็นชื่อในมือเป็นครั้งคราว ความคิดล่องลอยไปอยู่ที่อื่น
ตอนที่เธอเรียนประถมก็ไม่ได้มีรูปร่างสูง ทุกๆ เทอมเวลาที่เรียงแถวเล่นกีฬาก็มักจะยืนอยู่คนท้ายๆ ของแถวหน้าสุดเสมอ ไม่ว่าจะออกกำลังกายตามวิทยุกระจายเสียงหรือว่าเรียนวิชาพละ คนที่ยืนอยู่ติดกันกับเธอก็มักจะเป็นหวงเสี่ยวเยี่ยน เมื่อคนตัวเล็กทั้งสองมาเจอกันก็พลันดูมีชีวิตชีวา พอดีว่าบ้านของหวงเสี่ยวเยี่ยนอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอ ก็เลยนัดกันตลอดว่าจะกลับบ้านด้วยกัน ถ้าเธอถูกรังแก หวงเสี่ยวเยี่ยนก็มักจะออกหน้าแทนเธอเสมอ ดังนั้นหลังจากจบประถมมาได้หลายปี ทั้งสองคนก็ยังคงแทบจะตัวติดกันอยู่ดี
มีอยู่ปีหนึ่ง ทุกครั้งตอนที่เธอกับหวงเสี่ยวเยี่ยนกลับบ้านก็จะเจอกับพี่ชายตาบอดคนหนึ่งอยู่ที่ป้ายรถโดยสารเป็นประจำ แม้ว่าตาทั้งสองข้างจะมืดบอด แต่ก็ไม่ได้กระทบกับทัศนคติในการใช้ชีวิตของเขาเลยสักนิด เพราะว่าเขาหน้าตาดีสุดๆ อีกทั้งสีหน้ายังมีไมตรีชวนให้อยู่ใกล้ บางครั้งบางคราวก็จะมีคนที่รอรถอยู่ด้วยกันเข้าไปพูดคุยด้วยก่อนบ้าง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขา หรือไม่ก็ช่วยเหลือเขา หวงเสี่ยวเยี่ยนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
นิสัยของหวงเสี่ยวเยี่ยนก็คือมองโลกในแง่ดี เข้ากับคนง่าย คุยเก่ง ซังอู๋เยียนเองก็อยากถามเขามาตลอดว่า ‘ถ้ามองไม่เห็นมาตั้งแต่เกิดล่ะ หากคนอื่นบอกว่าสีฟ้าหรือว่าสีแดง คุณจะรู้ว่าสีนั้นมีลักษณะแบบไหนยังไง’ เธอเคยเรียนเรื่องตาบอดสีแดงและสีเขียวในวิชาชีววิทยา จึงรู้ว่ามีคนบางจำพวกแยกสีแดงและสีเขียวไม่ออก เมื่อมองดูแล้วก็เป็นสีเหมือนๆ กัน
ฉะนั้นเธอจึงสงสัยมาตลอดว่าถ้าเป็นคนตาบอดสนิท จะสัมผัสถึงสีสันได้อย่างไร
แต่ว่าซังอู๋เยียนไม่เคยกล้า จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ตามที ซังอู๋เยียนไม่เคยพูดกับเขามาก่อน
ตอนเด็กๆ ซังอู๋เยียนนิสัยแตกต่างจากตอนนี้อยู่บ้าง อยู่ที่บ้านหัวเราะเฮฮาไม่กลัวใคร แต่ว่าเพียงแค่ออกไปข้างนอกก็เหี่ยวแห้งเสียอย่างนั้น คุณลุงคุณป้าที่อยู่นอกบ้าน เพื่อนหรือว่าคุณครู เพียงแค่ถามคำถามกับเธอกะทันหันตอนที่เธอยังไม่ทันได้เตรียมความคิด ใจของเธอก็จะเต้นเป็นกลองรัวในทันที จากนั้นเวลาพูดจาก็จะเริ่มติดอ่าง
ถ้าใช้คำพูดของแม่ซังอู๋เยียนก็คือไม่สง่างามและภูมิฐานเอาเสียเลย มิหนำซ้ำยังไม่ใช่คนปากหวาน สรุปก็คือไม่ชวนให้คนรักใคร่ชอบพอ
หวงเสี่ยวเยี่ยนอยู่ชั้นประถมปีที่หกก็มีปรัชญาความรักเป็นของตัวเองแล้ว นั่นก็คือสิ่งที่รักที่ชอบ ก็ต้องกล้าที่จะช่วงชิงมาให้ได้ ตอนนั้นในห้องเรียนก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเป็นแฟนกัน ทุกคนยังไม่รู้ความ แต่ถ้าหากมีเด็กหญิงและเด็กชายคนไหนหยอกล้อกันหลังเลิกเรียนบ่อยเข้าๆ ก็จะเกิดเป็นข่าวลือ
ซังอู๋เยียนค่อนข้างเก็บตัว แต่ก็ไม่ได้ทึ่ม เธอดูออกว่าหวงเสี่ยวเยี่ยนเองก็มีความคิดเป็นอย่างอื่นกับพี่ชายตาบอดคนนั้นอยู่เหมือนกัน
ต่อมาหวงเสี่ยวเยี่ยนจะกลับไปเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนจื่อตี้* โรงเรียนจื่อตี้อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง หวงเสี่ยวเยี่ยนเองก็ไม่สามารถถือโอกาสดึงตัวเธอเดินผ่านป้ายรถโดยสารนั่นได้อีก เพียงแต่บางครั้งบางคราว ซังอู๋เยียนก็ยังสามารถเจอพี่ชายตาบอดคนนั้นได้ รอยยิ้มที่ผ่านไปหลายปีก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงประทับอยู่บนใบหน้าของเขา
เมื่อซังอู๋เยียนมาถึงโรงเรียนใหม่ แรกเริ่มคุณแม่ซังก็ยังรับฟังที่เธอพร่ำพูดถึงหวงเสี่ยวเยี่ยนอยู่ร่ำไป เพียงเพราะว่ากลุ่มเวรกวาดพื้นของพวกเธอมีผู้ชายบางคนไม่ยอมกวาด ทำให้พวกเธอทุกคนต้องแบ่งหน้าที่กันคนละมากๆ มิหนำซ้ำยังไม่กล้าบอกอาจารย์อีก
‘ถ้าเสี่ยวเยี่ยนอยู่ล่ะก็ จะต้องไม่มีทางจบแบบนี้แน่’ ซังอู๋เยียนกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
‘งั้นลูกก็ไปบอกอาจารย์สิ’ คุณแม่ซังเอ่ยปาก
‘หนูเหรอคะ ไม่เอาด้วยหรอก’
หรือไม่เธอต้องรวบรวมการบ้านวิชาเลข แต่มีเพื่อนบางคนไม่ยอมส่ง เธอจึงรายงานชื่อให้กับอาจารย์ สุดท้ายก็ทำเสียจนเพื่อนในห้องคนนี้ชักสีหน้าใส่ซังอู๋เยียนไปทั้งอาทิตย์
‘ถ้าเสี่ยวเยี่ยนอยู่ล่ะก็ จะต้องช่วยหนูเอาคืนแน่’ ซังอู๋เยียนเริ่มพร่ำบ่นกับตัวเอง
แต่นานวันเข้าช่วงเวลาที่ซังอู๋เยียนพูดถึงหวงเสี่ยวเยี่ยนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ โรงเรียนของทั้งสองห่างไกลกัน ตอนนั้นคนที่ใช้โทรศัพท์ก็มีไม่มาก ติดต่อกันน้อยลง เจอหน้ากันน้อยลง มิตรภาพที่สั่งสมมาเป็นเวลาหกปีก็ดูเหมือนจะค่อยๆ จืดจางลงในกาลเวลาที่ผ่านไปเหมือนกับสายน้ำ
ท้ายที่สุดซังอู๋เยียนก็ลืมเรื่องที่เดือนมิถุนายนของทุกปีจะต้องขอเงินเล็กๆ น้อยๆ จากแม่ล่วงหน้าเพื่อเตรียมของขวัญวันเกิดให้กับหวงเสี่ยวเยี่ยน
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งซังอู๋เยียนไปซื้อรองเท้ากับแม่ เจอกับแม่ของหวงเสี่ยวเยี่ยนที่หน้าประตูทางเข้า คุณแม่หวงใบหน้าซีดเซียว ตอนที่ซังอู๋เยียนเรียกอีกฝ่ายนั้นเธอกำลังรอสัญญาณไฟจราจร มองหน้าซังอู๋เยียนอยู่เนิ่นนานถึงได้สติแล้วยิ้มให้ ทำนองว่ารู้สึกคุ้นหน้า แต่ลืมไปแล้วว่าซังอู๋เยียนชื่ออะไร
‘คุณป้าหลี่ หนูชื่อซังอู๋เยียนค่ะ เป็นเพื่อนสมัยประถมของเสี่ยวเยี่ยนไงคะ’
‘อ๋อ ประเดี๋ยวเดียวก็ตัวสูงขนาดนี้แล้วนะ’ คุณแม่หวงพยักหน้า แล้วยิ้มให้คุณแม่ซังอีกครั้งหนึ่ง
พวกแม่ๆ ธรรมดาแล้วก็เป็นอย่างนี้ มักจะรู้สึกว่าลูกของตัวเองเลี้ยงยาก ส่วนลูกของคนอื่นแป๊บเดียวก็เติบโตแล้ว
‘เสี่ยวเยี่ยนสบายดีไหมคะ ไม่ได้เจอเธอนานเลย’ ซังอู๋เยียนถามอีก
ไม่ถามก็ดีอยู่หรอก แต่เพียงถามออกมา คุณแม่หวงก็ไม่ตอบอยู่เป็นนานสองนาน แต่ว่าดวงตากลับแดงไปหมด
‘เสี่ยวเยี่ยน…’ เธอเบือนหน้าหนี ‘เสี่ยวเยี่ยนป่วยน่ะ’ กล่าวจบน้ำตาก็ไหลเผาะลงมา
หวงเสี่ยวเยี่ยนเป็นมะเร็งในสมอง
ตรวจเจอเมื่อสามอาทิตย์ก่อน ส่งตัวไปรักษาที่ปักกิ่งแล้ว ที่คุณแม่หวงกลับมาที่บ้านคราวนี้ก็หยิบยืมเงินไปทั่วสารทิศ
หลังจากแยกจากกัน ซังอู๋เยียนเดินไปได้หลายเมตรก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมา เห็นคุณแม่หวงรีบร้อนเดินลอดผ่านฝูงชน สักพักหนึ่งก็แยกไม่ออกว่าเป็นเงาร่างไหนกันแน่
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเยี่ยนชอบบ่นว่า ‘ปวดหัว’
ตอนที่ซังอู๋เยียนร้องไห้งอแงอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ที่บ้าน ก็มักจะได้ยินแม่ฟ้องพ่อว่า ‘ลูกของคุณเอะอะจนฉันปวดหัวไปหมดแล้ว’ ฉะนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าปวดหัวมีอาการแบบไหน เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดว่ามะเร็งสมองเป็นโรคอะไรกันแน่
แต่ว่าเด็กอายุสิบกว่าขวบกลับรู้ว่ามะเร็งเป็นโรคที่พรากชีวิตคนสู่ความตาย
เธอกลับมาที่บ้านก็หดหู่เสียไม่มี ผู้ใหญ่เรียกไปกินข้าวหลายครั้งเธอก็ไม่ได้ยิน สุดท้ายคุณพ่อซังต้องไปลากตัวเธอออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ถึงได้พบว่าซังอู๋เยียนน้ำตาไหลพราก
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะสบตากัน จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ต่อมาคุณพ่อซังก็ไปที่บ้านของหวงเสี่ยวเยี่ยนเป็นเพื่อนซังอู๋เยียน พอดีว่าคุณย่าของเธอกำลังหุงข้าว เมื่อซังอู๋เยียนได้รับสัญญาณจากผู้เป็นพ่อ ก็ส่งซองจดหมายกระดาษคราฟต์ในมือให้กับคุณย่าหวง ทักทายกันไม่กี่คำก็จากไป
ในซองจดหมายบรรจุเงินอยู่ปึกหนึ่ง เป็นเงินเดือนที่คุณพ่อซังเพิ่งจะถอนออกมาจากธนาคาร
หนึ่งปีผ่านไป เมื่อหวงเสี่ยวเยี่ยนเสร็จสิ้นจากการรักษาตัวก็กลับมายังเมือง B ซังอู๋เยียนดีใจแทบเป็นแทบตาย ส่วนบรรดาผู้ใหญ่ต่างก็รู้ว่าการผ่าตัดไม่อาจกอบกู้สิ่งใดได้ เซลล์มะเร็งยังคงแพร่กระจายต่อไป
เมื่อปิดเทอมเธอก็ไปที่บ้านของหวงเสี่ยวเยี่ยน ครอบครัวหวงอาศัยอยู่บนอาคารติดถนนในเขตเมืองที่คึกคัก ซังอู๋เยียนสะพายกระเป๋าหอบแฮ่กๆ วิ่งพรวดขึ้นไป พอดีเห็นหวงเสี่ยวเยี่ยนนั่งยองๆ พัดไฟหน้าเตาถ่านหินรังผึ้งอยู่ที่หน้าบ้าน เตาไฟดับมอดไปเมื่อตอนเที่ยง ตอนนี้ยังจุดไม่ติด ทั่วทั้งทางเดินตลบอบอวลไปด้วยควันไฟแสบจมูก
มือข้างหนึ่งของหวงเสี่ยวเยี่ยนพัดจุดไฟ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งปิดจมูกเอาไว้ เธอถูกควันรมใส่เสียจนน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา
‘เสี่ยวเยี่ยน!’ ซังอู๋เยียนเรียกขึ้นครั้งหนึ่ง
หวงเสี่ยวเยี่ยนได้ยินเสียงเรียกก็หันหน้าไปหา เมื่อเห็นว่าเป็นซังอู๋เยียนก็หัวเราะแหะๆ
ขณะเดียวกันผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างในก็ยื่นหน้าออกมาดู ในมืออุ้มเด็กทารกด้วยความระมัดระวัง ซังอู๋เยียนเคยเห็นผู้ชายวัยกลางคนคนนี้มาก่อน เขาเป็นพ่อของหวงเสี่ยวเยี่ยน ส่วนทารกคนนั้นเธอกลับไม่รู้จัก
‘นี่เป็นน้องสาวของฉันเองแหละ เพิ่งจะอายุได้สองเดือน’ หวงเสี่ยวเยี่ยนหัวเราะ
ซังอู๋เยียนเบิกตากว้าง แล้วเอ่ยถาม ‘น้องแท้ๆ เลยเหรอ’ เธอรู้ว่าคุณพ่อหวงทำงานในโรงงานและเหมือง การมีลูกมากกว่าที่รัฐบาลกำหนดจะต้องออกจากงาน
‘ก็น้องแท้ๆ น่ะสิ หรือว่าเราสองคนหน้าตาไม่เหมือนกัน’ หวงเสี่ยวเยี่ยนกล่าว
ซังอู๋เยียนอยู่กินข้าวที่บ้านหวงจนดึกดื่น จนกระทั่งพ่อของเธอมารับถึงได้กลับไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ตอนที่เดินไปถึงใต้อาคาร คุณแม่ซังก็เอ่ยขึ้นมาทันที ‘คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เหลือเกินจริงๆ นะ ลูกยังไม่ทันดีขึ้นก็คลอดลูกคนที่สองออกมาซะแล้ว!’
คุณพ่อซังชำเลืองมองลูกสาว จากนั้นก็ชักสีหน้าใส่ภรรยา เป็นสัญญาณให้รู้ว่าอย่าได้พูดต่อ
แต่ว่าประโยคนี้ประโยคเดียวกับใบหน้ายิ้มแย้มซูบตอบจนเหลือแค่ผิวหนังที่เปรอะเปื้อนไปด้วยขี้เถ้า เพราะไม่ทันระวังจากทางเดินในอาคารเมื่อครู่นี้ กลับประทับอยู่ในความทรงจำของซังอู๋เยียน
หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่งซังอู๋เยียนก็ได้ข่าวการเสียชีวิตของหวงเสี่ยวเยี่ยนขณะอยู่ที่บ้าน
ก็อยู่ภายใต้บรรยากาศที่ฝนตกครึ้มไม่ขาดสายอย่างนี้เช่นกัน
เชิงอรรถ
* อีจิน แปลว่าหนึ่งวัน
* เนี่ยนฉิง มีความหมายว่าความคิดถึง
** เสียงนาสิกหน้า ได้แก่ สระประสม อัน (an) เอิน (en) อิน (in) อุน (un) อวิน (ün) เสียงนาสิกหลัง ได้แก่ สระประสม อัง (ang) เอิง (eng) อิง (ing) อง (ong)
*** อักษรคำว่า ชิน (衾) ประกอบด้วยตัวอักษร จิน (今) และตัวอักษร อี (衣)
* หลิวอวี่ซี (ค.ศ.772-842) เป็นกวีและนักปราชญ์ในสมัยราชวงศ์ถัง
* มาจากสำนวน ‘ไฟไหม้ประตูเมืองร้อนถึงปลาในคู’ หมายถึงเหตุร้ายลุกลามต่อเนื่อง
* เทศกาลหยวนตั้น คือวันที่ 1 เดือนมกราคม หยวนตั้น แปลว่ารุ่งอรุณแรก วันที่ 1 มกราคมก็คือวันแรกของปี
* เป็นคำอ่านภาษาจีนของประโยค ‘แสงอาทิตย์อัสดงส่องเฉียงตรอกชุดดำ’
** หวังซีจือและหวังเซี่ยนจือ คือนักอักษรศิลป์เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ซึ่งหวังชีจือคือบิดาของหวังเซี่ยนจือ
*** เถาเยี่ย แปลว่าใบท้อ คำเดียวกับ ‘ท่าเรือใบท้อ’
* โรงเรียนจื่อตี้ เป็นโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของแรงงานที่โยกย้ายข้ามถิ่นที่ครอบครัวไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้พักอาศัยในท้องที่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.