ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ

ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 3 พ่อของลูก

(1)

ชั่วพริบตาก็ถึงฤดูหนาวแล้ว ซังอู๋เยียนกลับมายังบ้านเกิดอย่างเมือง B หลังจากที่สอบเข้าปริญญาโทเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ลูกสอบเป็นยังไงบ้าง” คุณแม่ซังถามคำถามนี้ขึ้นมา

“ไม่รู้สิคะ ไม่รู้จริงๆ ค่ะ”

“อะไรที่เรียกว่าไม่รู้ล่ะ”

“หนูไม่ใช่อาจารย์ตรวจข้อสอบ หนูจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ”

“งั้นก็ดูท่าว่าจะสอบได้ไม่ดี”

“ค่ะ ถือว่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกัน” เธอฉวยโอกาสโจมตีกลับไป

ก็สอบได้ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ วิชาสุดท้ายนั่นเธอก็ไม่ได้เข้าสอบด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอย่างไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการเรียนหนังสือช่างน่าเบื่อ ไม่อยากสอบเข้าปริญญาโทแล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ทบทวนเลยแม้แต่นิดเดียว วิชาหลักก็ยังพอได้อยู่ มีแต่วิชาภาษาอังกฤษที่ไปไม่รอดแน่ๆ

บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเช่นนี้ ในที่สุดก็เลิกพูดเรื่องนี้กันไป

โปรแกรมฉลองเทศกาลก็มีแค่ดูทีวีอยู่ที่บ้าน ออกไปฉลองกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็ไปเยี่ยมญาติกับพ่อแม่ เวลาว่างที่เหลือค่อยเดินเล่นให้ทั่ว

วันที่สามเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ เธอได้รับโทรศัพท์ว่าเพื่อนสมัยมัธยมต้นต่างกลับมากันหมด คืนนี้จะออกมารวมตัวกัน

“สวี่เชี่ยนก็มาด้วยนะ เมื่อก่อนพวกเธอดีต่อกันที่สุดเลยไม่ใช่หรือไง” หัวหน้าห้องยุยง

“ช่างมันดีกว่าน่า”

“เร็วเข้า พวกเรารอเธออยู่นะ”

กิจกรรมขณะพบปะเพื่อนเก่าเป็นสูตรตายตัว กินข้าว ร้องคาราโอเกะ ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็เรื่องราวในช่วงนี้ บางคนหวานชื่นเป็นพิเศษก็พาครอบครัวมาด้วย

ซังอู๋เยียนลงจากรถเมล์ได้ก็เลี้ยวเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ที่ปากทางร้านหม้อไฟเพื่อซื้อหมากฝรั่ง ตอนที่ออกมาก็แกะเปลือกหมากฝรั่งพลางเดินไปข้างหน้า ไม่กี่ก้าวก็เห็นคนสองคนกำลังเตรียมเข้าไปในร้านหม้อไฟเช่นกัน

สองคนนั้นก็คือเว่ยเฮ่าและสวี่เชี่ยน

เว่ยเฮ่าเห็นซังอู๋เยียนก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน

“อู๋เยียน…” เขากล่าว

ซังอู๋เยียนแน่นิ่งอยู่สักพัก เตรียมจะหันหลังจากไป

“ซังอู๋เยียน!” สวี่เชี่ยนกลับตะโกนขึ้นเสียงดัง เรียกซังอู๋เยียนเอาไว้ จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “เธอจะหลบอะไรน่ะ”

“ฉันไม่ได้หลบอะไร ทางนี่ไม่ใช่ของเธอสักหน่อย จะเดินหน้าหรือถอยหลังมันก็เรื่องของฉัน” ซังอู๋เยียนกล่าว

เว่ยเฮ่ายืนคั่นอยู่ตรงกลาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“เธอเลิกทำท่าทีเหมือนว่าฉันกับเว่ยเฮ่าทำผิดต่อเธอสักที” สวี่เชี่ยนกล่าว “รู้ไว้ด้วยสิว่าระหว่างพวกเราสามคนน่ะ เธอนั่นแหละเป็นมือที่สาม”

ซังอู๋เยียนยิ้มเย็น ถอยออกไปได้สองสามก้าวก็จากไป

 

เธอเพิ่งจะออกมาจากบ้าน หากเพียงครึ่งชั่วโมงก็กลับเข้าไปล่ะก็ แม่จะต้องซักไซ้ไล่เลียงเอาแน่ๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงเดินหาร้านขายของกินเล่นเพื่อฆ่าเวลา

ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนของช่วงเวลากินข้าวพอดี อีกทั้งร้านนี้เดิมทีก็ขายดีอยู่แล้ว ลูกค้าทั้งในและนอกทั้งสามชั้นแน่นขนัดเป็นปลากระป๋อง ไม่ง่ายเลยกว่าซังอู๋เยียนจะเบียดเสียดเข้าไปได้ แล้วสั่งบะหมี่มาชามหนึ่ง

ภายในร้านเปิดวิทยุไว้เสียงดังลั่น กำลังออกอากาศข้อมูลการคมนาคมในช่วงเวลานี้อยู่พอดี ถ้าคนที่สนิทสนมกันกินกันไปคุยกันไปแล้วล่ะก็ จะต้องตะโกนออกมาอีกฝ่ายจึงจะได้ยิน

กินไปได้ครึ่งชาม สถานีก็เปิดเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา แม้ว่าสถานที่จอแจอย่างนี้จะแยกแยะอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าเธอเคยฟังเพลงนี้มาก่อน พูดให้ถูกก็คือเป็นเพลงที่ซูเนี่ยนชินเล่นเมื่อคราวก่อนในห้องเปียโน แม้ว่าขณะนี้จะเปลี่ยนไปเป็นเครื่องดนตรีชนิดอื่น ซ้ำยังมีเนื้อร้องให้คนร้องออกมา แต่ว่าเธอก็จำได้

ประทับตราตรึงอยู่ในใจเลยล่ะ

เธอนับถือคนที่เล่นดนตรีเป็นมาโดยตลอด นับประสาอะไรกับคนตาบอดที่สามารถบรรเลงเปียโนได้ชำนาญขนาดนี้ หากบอกว่าตอนที่ฟังอยู่เพียงแค่แฝงไว้ด้วยสไตล์จีนแล้วล่ะก็ ตอนนี้เพลงต้นฉบับที่ปล่อยออกมาจากสถานีก็แทบจะเป็นเพลงที่แฝงไว้ด้วยสไตล์โบราณสุดๆ เชียวล่ะ

เมื่อสักครู่นี้เพลงที่คุณผู้ฟังทุกท่านได้ฟังกันเป็นเพลงใหม่ล่าสุดของสวีกวนกัว มีชื่อว่านางแอ่นบนคอน’ ” ผู้จัดรายการกล่าว

เมื่อซังอู๋เยียนกินอิ่มไปมื้อหนึ่ง มือทั้งสองข้างก็สอดเข้าไปในเสื้อกันหนาว เดินเที่ยวในร้านขายซีดีที่อยู่ในละแวกนั้นเป็นนานสองนานก็ยังหาซีดีแผ่นนั้นไม่เจอ

เด็กสาวในร้านเข้ามาถามไถ่ด้วยความกระตือรือร้น

“ฉันอยากหาเพลงของสวีกวนกัวน่ะค่ะ”

“แถวนี้ทั้งหมดเลยค่ะ” เด็กสาวนำทางเธอไปดู

“ไม่ใช่ๆ เพลงใหม่ล่าสุดน่ะค่ะ ที่เพิ่งออกมา”

“คุณหมายถึง ‘นางแอ่นบนคอน’ ใช่ไหมคะ”

“ใช่ๆๆ” ซังอู๋เยียนกล่าว

“ดูเหมือนจะยังไม่วางขายนะคะ ไม่กี่วันนี้ก็มีหลายคนมาถามเหมือนกันค่ะ” เด็กสาวยิ้ม

“อ๋อค่ะ” ซังอู๋เยียนสลด

“แต่ว่า…” ซังอู๋เยียนกำลังจะออกจากร้าน เด็กสาวก็กล่าวขึ้นจากด้านหลัง “แต่ว่าพี่สาวจะไปค้นดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้นะคะ”

 

เมื่อก้าวเท้าเข้าบ้าน คุณแม่ซังก็เอ่ยถาม “ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ” ทุกครั้งที่พบปะเพื่อนเก่าหากไม่ถึงเที่ยงคืนเธอก็จะยังไม่กลับบ้าน

“ไม่สนุก ก็เลยออกมาก่อนค่ะ”

“เมื่อกี้เว่ยเฮ่าโทรศัพท์มาหาลูกแน่ะ บอกว่าถ้าลูกกลับมาแล้วให้โทรหาเขาด้วย เขาจะมาหาลูก”

“ต่อไปถ้าเขาโทรมาบอกว่าหนูไม่อยู่นะคะ”

“ทำไมทำกับเขาอย่างนั้นล่ะ”

“หนูไปทำอะไรเขาคะ” ซังอู๋เยียนเค้นเสียงสูง

“นี่เป็นน้ำเสียงที่ลูกใช้คุยกับผู้ใหญ่หรือไง” แม่เริ่มมีน้ำโห “อย่ามาทำเป็นว่าพวกเราพูดอะไรลูกก็บอกว่ารำคาญ อะไรๆ ก็ไม่เข้าตาลูกหน่อยเลย เขาโทรมาหาลูก ส่งข้อความกลับไปก็นับว่าเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของการเป็นคนนะ กับคนแปลกหน้าก็ควรจะทำแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องมาบอกว่าพวกลูกโตมาด้วยกัน เรื่องบางเรื่องก็อย่าคิดว่าพวกเราจะไม่รู้ ถือว่าเว่ยเฮ่าน่ะดีกับลูกแล้ว…”

“แม่คะ! ขอร้องล่ะไม่ต้องพูดแล้ว” ปากเธอบอกว่าขอร้อง แต่ว่ากลับแสดงท่าทางราวกับเหลืออด “แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแม่สักหน่อย” ซังอู๋เยียนเอ่ยเสริม

คุณแม่ซังยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “คุณซังคะ คุณดูลูกของคุณสิ บอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน นี่มันคำพูดอะไรกัน ฉันเลี้ยงเธอมายี่สิบปีถือว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก พูดกับเธอไม่กี่คำก็มาโมโหโทโสใส่ฉัน”

สองแม่ลูกต่างอารมณ์ร้อนด้วยกันทั้งคู่

คุณพ่อซังที่ไม่คิดจะเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้หัวเราะแหะๆ เป็นสัญญาณว่าปล่อยให้เรื่องราวจบลงไปเถอะ

ขณะที่ทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นที่รุนแรงสุด เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

คนที่กดกริ่งก็คือเว่ยเฮ่า

คุณพ่อซังกับคุณพ่อของเว่ยเฮ่าเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองครอบครัวต่างก็อาศัยอยู่ที่อาคารศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง ฉะนั้นจึงไปเที่ยวบ้านของอีกฝ่ายได้ง่ายดายเป็นพิเศษ

คุณพ่อซังเป็นคนไปเปิดประตู ตรงเข้าไปทักทายเว่ยเฮ่าให้เข้ามานั่งเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

เว่ยเฮ่ายืนอยู่ที่หน้าประตู ราวกับว่าได้กลิ่นดินระเบิดภายในบ้าน จะอยู่หรือไปก็ไม่ดีทั้งนั้น

ส่วนสีหน้าของคุณแม่ซังเปลี่ยนไวยิ่งกว่ากิ้งก่าคาเมเลี่ยนเสียอีก “เสี่ยวเฮ่า เธอไม่ได้มาหาอู๋เยียนหรอกเหรอจ๊ะ ใช่สิ เธอเพิ่งกลับมาเองนี่นา”

ซังอู๋เยียนไม่เอาด้วยหรอก เธอเดินหันเข้าไปในห้องทันที

คุณแม่ซังกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “น้ากับคุณพ่อซังกำลังพูดกันอยู่เลยว่าจะออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตสักหน่อย เด็กวัยรุ่นคุยกันเถอะจ้ะ” กล่าวจบก็ดึงคุณพ่อซังให้เปลี่ยนชุดแล้วออกจากบ้านไป

ซังอู๋เยียนปิดประตูอยู่ในห้องนอน รออยู่เป็นนานสองนาน ก็อดไม่ได้อยากจะเข้าห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าคนข้างนอกยังอยู่หรือเปล่า เธอแนบหูฟังอยู่กับประตูเป็นเวลานานก็พบว่าข้างนอกไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

สัญชาตญาณทางกายภาพฝ่าทะลวงสติสัมปชัญญะได้ เธอจึงเปิดประตูออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว มองดูรอบๆ ไม่มีคนอยู่ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็พบว่าเว่ยเฮ่านั่งอยู่บนโซฟา

เขามองมาที่เธอ

เธอจ้องมองไปยังเขา จากนั้นก็เห็นเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาช้าๆ

“เมื่อกี้เชี่ยนเชี่ยนบอกว่ามีนัดกินข้าวกับเพื่อน ให้ฉันไปส่งเธอ ฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นการพบปะกันของเพื่อนชั้นมัธยมต้นของพวกเธอ…”

“ฉันเป็นมือที่สามเหรอ” ซังอู๋เยียนตัดบทเขาในทันที

“อย่าไปฟังที่เธอพูดเลยน่า”

“ฉันเป็นมือที่สามงั้นเหรอ เว่ยเฮ่า?” ซังอู๋เยียนจ้องมองเขาตาเขม็งแล้วถามอีกครั้งหนึ่ง

เว่ยเฮ่าไม่ได้พูดอะไร

ซังอู๋เยียนเห็นว่าเขาปิดปากเงียบ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูก แล้วหันหลังกระแทกประตูปิดจากไป

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com