มิสเตอร์เอ็มโอเอฟใช้โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นห้าเอส แต่ไม่ได้ลงแอพฯ โซเชียลมีเดียเอาไว้เลย ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือว่าอินสตาแกรม แถมเขายังเสียดสีนักเรียนที่วันๆ เอาแต่จับโทรศัพท์มือถือว่ายอมให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามาบงการสมองของตัวเองอีกด้วย
นี่มันยุคดิจิตอลแล้วนะ หรือว่ายังมีคนที่ไม่ต้องการผูกสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อยู่ด้วย
ทว่าความคิดของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “ผมไม่จำเป็นจะต้องแชร์ชีวิตของตัวเองให้คนอื่นดูเสียหน่อย ถ้ามีธุระจริงๆ ค่อยส่งข้อความหรือโทรศัพท์เอาก็พอ”
เขาพูดได้ถูกต้องจนฉันหมดเหตุผลที่จะโต้แย้งเลยล่ะ
ฉันเลยถามเขาว่า “แล้วนอกจากสอน ตอนอยู่ระหว่างทางมาสถาบัน ระหว่างทางกลับบ้าน แล้วก็ระหว่างดื่มกิน ปกติคุณทำอะไรบ้างคะ”
ตอนนั้นมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็โพล่งออกมาว่า “คิดเมนูใหม่ๆ”
“งั้นนอกจากคิดเมนูใหม่ล่ะคะ”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟตอบโดยไม่คิดเลยสักนิด “ทดลองเมนูใหม่”
“นอก! เหนือ! จาก! เมนู! ล่ะ! คะ!”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ยังตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ถ้างั้นก็ดูปลาว่ายน้ำไปมา”
ที่บ้านของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟมีตู้ปลาขนาดใหญ่ เลี้ยงปลาสวยงามเอาไว้ตู้หนึ่ง เวลาไม่มีอะไรทำเขาก็จะจ้องมองมัน ก่อนหน้านี้เขาจ้องมองปลาเหล่านั้นอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันกับเขาจ้องมองมันอยู่ด้วยกันสองคน…มองตลอดทั้งบ่าย
แหะๆ
สนุกดีออก…แล้วก็มีรสนิยมมากๆ เลยด้วย หรือไม่จริงคะ
ฉันทำได้เพียงหัวเราะแหะๆ
หลังจากฉันได้เลื่อนระดับไปสู่ชั้นสูงแล้วก็เลยได้เข้าเรียนในคาบเรียนสาธิตของเขา และตอนนั้นเขาไม่ใช่เชฟธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเอ็มโอเอฟสวมชุดยูนิฟอร์มที่มีธงชาติบนปกเสื้อเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีแค่บรรดาเอ็มโอเอฟเท่านั้นถึงจะได้รับเกียรตินี้ และเกียรติยศของเอ็มโอเอฟนี้ได้รับมาจากประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้มอบให้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่สถานะของเขาจะแตกต่างออกไป
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเกลียดนักเรียนที่สวมเครื่องแบบสกปรกและยับยู่ยี่เป็นที่สุด ดังนั้นทุกครั้งก่อนจะถึงคาบเรียนของเขาหนึ่งวัน ฉันไม่เพียงเอายูนิฟอร์มของตัวเองออกมาซัก แต่ยังใช้เตารีดรีดให้เรียบกริบเป็นพิเศษอีกด้วย
ฉันพยายามขนาดนี้…แน่นอนว่าก็เพื่อที่จะได้เป็นที่จดจำในสายตาของเขา
ฉันโอเวอร์เกินไปอย่างนั้นเหรอ ขอร้องล่ะ…ฉันยังไม่ถึงขั้นซื้อเครื่องแบบใหม่สักหน่อย!
แต่ประเด็นหลักจริงๆ ก็คือเครื่องแบบเบอร์ศูนย์มันไม่มีขายแล้วน่ะสิ…แหะๆ