คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ซังเหยียนจะตอบมาทันที
เวินอี่ฝานรอสักครู่ แล้วค่อยเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างเงียบๆ ลุกขึ้นเดินออกจากออฟฟิศ
พอกลับถึงบ้าน เธอก็หยิบกุญแจมาเปิดประตูแล้วจ้องที่ตู้รองเท้าสักครู่
ในหัวคิดไปถึงเรื่องที่เธอกับเขาทะเลาะกันเมื่อคืน
ครู่ต่อมามือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเธอ
เวินอี่ฝานรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วรับสายทันที เสียงของจงซือเฉียวดังมาจากปลายสาย เอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก
“เป็นไงบ้าง ไม่มีแฟนอยู่ข้างตัวรู้สึกสบายใจมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
“…” เวินอี่ฝานถอนสายตากลับ เดินไปทางโซฟา เพียงแต่ยิ้มๆ
“รอให้เธอหยุดงานก่อน แล้วพวกเราสองคนค่อยออกไปกินข้าวกัน ซังเหยียนไปหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ” จงซือเฉียวเอ่ย “เฮ้อ หลังจากเธอมีแฟน เขาก็ดึงเวลาของเธอไปหมดเลย ฉันไม่ได้เจอเธอตั้งนานแล้วนะ”
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “โอเคจ้า”
“เธอพูดเสียงแบบนี้ เป็นอะไรไปเหรอ” จงซือเฉียวเอ่ยหยอกล้อ “ซังเหยียนเพิ่งไปวันเดียวเอง เธอก็คิดถึงเขาแล้วเหรอ ทำไมแต่ก่อนฉันมองไม่ออกเลยล่ะว่าเธอเป็นคนติดแฟน”
เวินอี่ฝานแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
เพียงครู่เดียวจงซือเฉียวก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติ จึงเอ่ยถาม “เฮ้อ เป็นไรอะ ปกติเวลาฉันพูดถึงซังเหยียน เธอก็จะพูดได้ตั้งหลายประโยคไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไม่พูดไม่จาเลยล่ะ ทะเลาะกับเขาเหรอ”
เวินอี่ฝานเงียบไปสักพัก ไม่ได้ยอมรับ เพียงแต่เอ่ยว่า “เขารู้สึกว่าฉันไม่บอกอะไรเขาเลย”
“หา! เธอเป็นหนักเอาการนะเนี่ย มีอะไรก็ชอบเก็บไว้ในใจคนเดียว” จงซือเฉียวเอ่ย “แต่คนที่เป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เตี่ยนเตี่ยน เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นครั้งสองครั้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยครั้งเข้า พวกเธอสองคนจะเริ่มเข้ากันไม่ได้นะ”
“…” เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างงุนงง “แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่บอกอะไรเขาเลยนะ”
“หา?”
เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันเพียงแค่ไม่เล่าเรื่องแย่ๆ ให้เขาฟัง”
จงซือเฉียวยิ้มๆ “นั่นก็เหมือนกันแหละ”
“…”
“ถ้าเธอไม่พูด อีกฝ่ายเขาก็จะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด เขาจะรู้สึกเพียงว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนยังไม่ถึงขั้นที่เธอจะเปิดเผยต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาได้ในทุกเรื่อง” จงซือเฉียวเอ่ย “ถ้าท้ายที่สุดแล้วเขาไปได้ยินจากปากคนอื่น อาจจะทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากนะ”
เงียบงันกันไปชั่วครู่
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “เฉียวเฉียว อาจเป็นเพราะฉันคบกับซังเหยียนมานานแล้ว ช่วงนี้ฉันเลยมักจะนึกถึงเรื่องแต่ก่อนเรื่องนึงอะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
เวินอี่ฝานเอ่ยเนิบๆ “ตอนแรกฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันเลือกมหา’ลัยหนานอู๋อะ”
จงซือเฉียวไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงอึ้งไปเล็กน้อย “ใช่สิ ฉันยังงงมากเลยว่าสุดท้ายทำไมเธอถึงเลือกอี๋เหอ ยังคิดอยู่เลยว่าพวกเราสองคนจะได้เรียนมหา’ลัยเดียวกัน”
“ตอนนั้นที่เลือกมหา’ลัย ซังเหยียนก็มาถามฉัน ฉันก็ตกลงกับเขาไปว่าจะเลือกหนานอู๋” เวินอี่ฝานไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้กับใครเลย แม้แต่ตอนอยู่ต่อหน้าซังเหยียนก็ยังไม่กล้าพูดสักนิด “แต่ฉัน…”
“มีอะไรเหรอ”
เวินอี่ฝานพูดไม่ออกอยู่บ้าง “สุดท้ายฉันก็เปลี่ยนมหา’ลัย”
“…”
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “ฉันกังวลมากว่าเขาจะถือสาฉันเรื่องนี้”
คล้ายว่าพอมีเรื่องที่แคร์ คนก็จะเริ่มอ่อนแอขึ้นมา จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง