“เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้ ฉันพยายามจะคล้อยตามเขา ไม่ไปเพิ่มปัญหาให้เขา” เวินอี่ฝานถามอย่างช้าๆ “นี่ฉันทำผิดใช่มั้ย”
ผ่านไปครู่ใหญ่จงซือเฉียวก็ถามว่า “…เพราะฉะนั้นทำไมเธอถึงเปลี่ยน”
เวินอี่ฝานไม่ตอบ
จงซือเฉียวก็ตระหนักได้ว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร จึงไม่ซักไซ้ถามอีก “เธอก็ไม่ได้บอกเขา?”
เธอตอบอืมไปเบาๆ
“ฉันก็ยังคงพูดเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ถ้าเธออยากคบกับเขาต่อ เธอต้องบอกเขา” จงซือเฉียวเอ่ย “ไม่งั้นนี่จะเป็นเหมือนหนามที่คอยทิ่มแทงพวกเธอ”
“…”
“เตี่ยนเตี่ยน ไม่ใช่ว่าพูดแล้วถึงจะทำร้ายเขานะ” จงซือเฉียวเอ่ยอย่างจริงจัง “เธอหลีกเลี่ยงไม่ยอมพูดก็ทำร้ายเขาได้เหมือนกัน”
ทั้งสองฝ่ายดำดิ่งเข้าสู่ความเงียบ
ผ่านไปไม่กี่วินาทีจงซือเฉียวก็ถอนใจออกมา “เธออย่าทำผิดซ้ำอีกเลย”
เวลาสองทุ่มในวันต่อมาที่เมืองอี๋เหอ
หลังจากทานข้าวกับซังจื้อและต้วนจยาสวี่ เดิมทีซังเหยียนคิดว่าจะกลับไปนอนที่บ้านของต้วนจยาสวี่ ไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอคู่รักที่หวานจนเลี่ยนคู่นี้
ใครจะไปคิดว่าซังจื้อยังจะลากเขาไปดูหนังด้วยให้ได้ แล้วยังจัดแจงให้เขานั่งกับต้วนจยาสวี่ในที่นั่งสำหรับคู่รัก
ซังเหยียนรู้สึกหงุดหงิดและคิดว่าไร้สาระสิ้นดี เขาไล่ต้วนจยาสวี่ไปทันที จากนั้นก็นั่งพิงพนักดูมือถือ
ซังเหยียนตกเครื่องเมื่อวานซืน เขาเลยต้องซื้อตั๋วเครื่องบินสำหรับช่วงบ่ายในวันถัดไป แต่เขาไม่ได้บอกเวินอี่ฝาน เมื่อคืนตอนเธอส่งข้อความให้เขา เขาก็อยู่บนเครื่องบิน
หลังจากมาถึงสนามบิน ซังเหยียนถึงเพิ่งเห็นข้อความ พอตอบกลับไปเธอก็ส่งข้อความมาว่าให้เขานอนเร็วหน่อย หลังจากนั้นทั้งคืนมือถือของเขาก็ไม่มีข้อความอะไรมาอีก
ขนาดเวลาทานข้าวในวันนี้ ซังเหยียนก็ยังไม่ได้รับข้อความจากเวินอี่ฝาน
เขาจ้องห้องแชตของพวกเขาสองคน
พอนึกได้ว่าก่อนมาเมืองอี๋เหอเขาสาดไฟโทสะเหล่านั้นใส่เธอ ซังเหยียนก็ขยับปลายนิ้ว พิมพ์ไปว่า ‘กลับบ้านหรือยัง’
ทางฝั่งนั้นก็ยังไม่ตอบ
ภาพยนตร์เริ่มฉายพอดี
ซังเหยียนก็รออีกสักครู่แล้วโยนมือถือไปด้านข้าง จ้องที่หน้าจอตรงหน้า เขาไม่มีอารมณ์จะดูหนังเลยสักนิด โฟกัสไม่ได้เลย ผ่านไปอีกสักครู่ถึงรู้ว่านี่คือภาพยนตร์ 3D แต่เขากลับขี้เกียจสวมแว่น 3D
เสียงในโรงภาพยนตร์ดังมาก สั่นสะเทือนจนรู้สึกปวดหูนิดหน่อย ทว่าซังเหยียนไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด กลับรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง
ความง่วงงุนถาโถมเข้ามา ตามมาด้วยภาพฝันที่มืดสลัวและดูน่ากลัวที่สุด
ซังเหยียนฝันถึงตอนที่เวินอี่ฝานอายุสิบเจ็ดปี
เวินอี่ฝานที่อยู่ในฝันสวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่เหมือนกันทั้งเมืองเป่ยอวี๋ เธอก้าวเท้ายาวเดินไปในตรอกเดิมที่พวกเขาสองคนเคยเดินไปเดินมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่ามีใครเดินตามเธอมา สีหน้าเธอแฝงไปด้วยความหวาดกลัว หมดหนทางอย่างที่สุด
ครู่ต่อมาคนที่อยู่ด้านหลังก็ดึงตัวเธอไว้
เธอเห็นรอยยิ้มอันหยาบคายอย่างที่สุดของ ‘น้า’ คนนั้น
ท่าทางของเธอเตรียมป้องกันตัวเต็มที่ อยากสลัดออกในทันที ทว่ากลับสลัดไม่หลุดสักที
สภาพโดยรอบเงียบสงัดจนน่ากลัว บนโลกนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกเขาสองคน ดูเหมือนว่าแม้เธอจะกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร ก็จะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ยืดยาวออกไป ไม่มีใครมาช่วยเธอเลย
พอฉากเปลี่ยนไป
เวินอี่ฝานนั่งอยู่บนเตียงคนเดียว ลำแสงมืดสลัวอย่างมาก เหมือนทุกครั้งที่เธอละเมอ เธอจะนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขก หญิงสาวใช้ผ้าห่มห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ เพียงหลุบตาลง หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาทีละหยดๆ
ก่อนจะมีคนตบประตูอย่างแรงจากด้านนอก ส่งเสียงกระแทกดังมาก