Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1
เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปในตึกใหญ่ลี่ซื่อกรุ๊ปตรงเวลาตอนเก้าโมง เลขาฯ แซ่หลินเป็นคนออกมารับรองเธอ อีกฝ่ายพาเสิ่นเสี่ยอี้ไปยังห้องทำงานที่เตรียมเอาไว้ให้เธอล่วงหน้า รอจนเสิ่นเสี่ยอี้วางข้าวของลงเรียบร้อยแล้วจึงพาเธอไปดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“ฝั่งทางเดินนี้เป็นห้องน้ำนะคะ”
“ทางนี้เป็นห้องชงชา ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มทุกชนิด คุณอยากดื่มอะไรก็เลือกหยิบได้เลย หรือจะให้ฉันส่งไปให้ก็ได้ค่ะ”
“ชั้นล่างสุดของอาคารมีโรงอาหารพนักงาน บัตรกินข้าวของคุณอยู่ในลิ้นชัก แล้วก็มีบัตรพนักงานชั่วคราวค่ะ บัตรของพนักงานประจำจำเป็นต้องให้คุณส่งไฟล์รูปถ่ายให้ก่อนถึงจะทำให้ได้ค่ะ”
เมื่อเดินไปถึงประตูที่ไม่มีป้ายบอกหน้าห้องตรงสุดทางเดิน เสี่ยวหลินก็กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของคุณลี่ค่ะ”
“ ‘คุณลี่’ คนไหนเหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้ใคร่ครวญอะไรมากก็โพล่งถามออกมา ที่นี่น่าจะมีคุณลี่หลายคนนะ
“ประธานลี่ค่ะ” เสี่ยวหลินหัวเราะ “แต่เขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกแบบนี้หรอกนะคะ”
“คุณหลินเป็นเลขาฯ ของคุณลี่เหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้มองป้ายพนักงานของเสี่ยวหลินแวบหนึ่ง
“ใช่ค่ะ” เสี่ยวหลินยังคงยิ้มเหมือนเดิม
“บริษัทให้เลขาฯ ท่านประธานมารับรองพนักงานใหม่หรือทนายความที่จ้างมาใหม่ตลอดเลยเหรอคะ”
เดิมทีเสิ่นเสี่ยอี้นึกอยากถามว่าคนของฝ่ายบุคคลไปทำอะไรที่ไหนกันหมดคะ แต่สุดท้ายเธอก็กลืนประโยคนั้นลงไป
เสี่ยวหลินรักษารอยยิ้มเอาไว้อย่างใจเย็น “เรื่องนี้บอกได้แค่ว่าคุณลี่ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันกับถังเฉียวค่ะ”
รอยยิ้มของเธอช่างเป็นมืออาชีพเหลือเกิน…
หลังจากทำงานอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เสิ่นเสี่ยอี้ก็พบว่านี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีงานให้ทำ แต่เป็นตำแหน่งที่มีงานซึ่งจำเป็นต้องใช้สมองโอเวอร์โหลดทั้งกลางวันและกลางคืนอีกด้วย
ช่วงบ่ายของเวลาทำงาน เสิ่นเสี่ยอี้รับสายโทรศัพท์ส่วนตัวสายหนึ่ง
“เสี่ยอี้ นี่ผมเอง”
“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง
“หยางวั่งเจี๋ย” เขาทำได้เพียงรายงานชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย
“อ๋อ” เสิ่นเสี่ยอี้ตอบรับก่อนกล่าวอธิบาย “ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลยน่ะ”
คนคนนี้เป็นญาติของอู๋เหว่ยหมิงเพื่อนร่วมงานของเธอ คู่ดูตัวที่ได้รับการแนะนำผ่านอู๋เหว่ยหมิงเมื่อคราวก่อน เขาเป็นสถาปนิก ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง
“คุณยังไม่ได้กินข้าวหรอกใช่ไหม” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
กินข้าว? เสิ่นเสี่ยอี้มองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดแล้ว ส่วนเธอก็ก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คนเดียวโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“กินข้าวด้วยกันนะ ผมไปรับเอง” หยางวั่งเจี๋ยเชิญชวนด้วยความจริงใจ
ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงรีบจบงานในมือให้เรียบร้อย ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเก็บของเตรียมเลิกงาน
ระหว่างเดินไปที่ลิฟต์เธอก็เห็นว่ามีใครอีกคนกำลังรอลิฟต์อยู่เหมือนกัน เสิ่นเสี่ยอี้มองอย่างละเอียด เป็นลี่เจ๋อเหลียงนั่นเอง เธอมองเขาจากทางด้านหลัง สายตาตกลงที่หลังใบหูของลี่เจ๋อเหลียงพอดิบพอดี ผิวส่วนนั้นของเขาขาวจั๊วะเชียว
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยิ้มให้
“คุณลี่” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยทักทายก่อน
ลี่เจ๋อเหลียงพยักหน้าตอบรับ พวกเขาไม่เคยทำความรู้จักกันซึ่งๆ หน้าอย่างเป็นทางการมาก่อน เขารู้จักหรือไม่รู้จักเธอก็ดูเป็นเรื่องปกติทั้งนั้น
‘ติ๊งต่อง’ ประตูลิฟต์เปิดออก ลี่เจ๋อเหลียงส่งสัญญาณให้เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปก่อน เสิ่นเสี่ยอี้จึงไม่ได้หลีกทางให้
ภายในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคน ทั้งคู่ยืนเคียงไหล่กันมองตรงไปข้างหน้า ด้านในของตัวลิฟต์ถูกขัดเอาไว้เสียมันวับจนสะท้อนเงาของคนทั้งสอง เสิ่นเสี่ยอี้มองไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเธอไม่จัดว่าเตี้ย แต่เมื่อสวมรองเท้าส้นสูงธรรมดาๆ เธอก็อยู่ที่ระดับความสูงของใบหูเขาเท่านั้นเอง
ลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนลง มุมปากและดวงตาของเขาเจือด้วยรอยยิ้มตามปกติ ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าดูค่อนข้างเย็นชา
“คุณเสิ่น ดึกขนาดนี้เพิ่งจะเลิกงานเหรอครับ” ในที่สุดลี่เจ๋อเหลียงก็ปริปากพูด น้ำเสียงก้องกังวานน่าฟัง
“เพิ่งทำงานในมือบางส่วนเสร็จน่ะค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวไปก็ลูบผมไปด้วย เวลาที่เธอตื่นเต้นก็มักจะมีปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้โดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนว่าข้างนอกฝนจะตกนะ” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว
“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างประหลาดใจที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา “ฉันร่างกายแข็งแรงมากค่ะ ไม่มีปัญหา”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป เสิ่นเสี่ยอี้ก็พลันรู้สึกว่าโรคก่อเรื่องงี่เง่าของเธอเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ค่อนข้างจะคิดเองเออเองไปหน่อย ว่ากันว่าเขาเรียนอยู่ที่เยอรมนีมาหลายปี บางทีเขาคนนี้อาจจะยังคงรักษาธรรมเนียมอย่างชาวต่างชาติอยู่ก็ได้ เพียงแค่อยากพูดคุยเรื่องอากาศด้วยก็เท่านั้น
ลี่เจ๋อเหลียงได้ฟังก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะลงมาถึงชั้นหนึ่งก็เห็นหยางวั่งเจี๋ยรอเธออยู่ที่บริเวณทางออก หยางวั่งเจี๋ยกับลี่เจ๋อเหลียงพยักหน้าให้กันเป็นการทักทาย
ตอนที่รถของพวกเขายูเทิร์นกลับมา เสิ่นเสี่ยอี้เห็นว่าลี่เจ๋อเหลียงยังคงรอคนขับรถอยู่
“ดูเหมือนว่าขาของผู้ชายคนนี้จะมีปัญหานะ” หยางวั่งเจี๋ยขับรถไปพลางสายตาก็มองลี่เจ๋อเหลียงที่อยู่นอกหน้าต่าง
“หืม?”
“ถึงตอนยืนจะดูไม่ออก แต่พอเขาเดินแล้วดูค่อนข้างแปลกเลยล่ะ อีกอย่างเขายังหันตัวช้าเป็นพิเศษด้วย” หยางวั่งเจี๋ยอธิบาย
เสิ่นเสี่ยอี้หันไปมองหยางวั่งเจี๋ยทันทีที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา สีหน้าของเธอเจือด้วยความตื่นตะลึง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา เมื่อรถขับออกมาไกลมากแล้วเธอถึงได้หันกลับไปมองอย่างใจลอย เงาร่างของลี่เจ๋อเหลียงเลือนรางไปมากแล้ว เหมือนว่าจะยังถือร่มยืนอยู่ท่ามกลางม่านฝนที่ตกไปทั่วท้องฟ้า
เธอไม่เห็นจะมองออกเลย
“เขาเป็นเพื่อนคุณเหรอ” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอก ฉันมีวาสนาขนาดนั้นที่ไหนล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะ “เขาเป็นเจ้าของลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้
ลี่เจ๋อเหลียง”
“ลี่เจ๋อเหลียง? เขาถึงกับเป็นตำนานของวงการอสังหาริมทรัพย์เลยนะ” หยางวั่งเจี๋ยหัวเราะพลางเอ่ยไปด้วย “เขาลงมือว่องไว แม่นยำ แล้วก็โหดเหี้ยมมาตลอด กลายเป็นกังหันบอกทิศทางลมของสายงานพวกเราไปแล้ว เมื่อสองปีก่อนการบุกเบิกเขตใหม่ทำให้ชื่อเสียงและอิทธิพลของลี่ซื่อกรุ๊ปขยายตัวรวดเร็วจนน่าตกใจ”
เรื่องนี้เสิ่นเสี่ยอี้เองก็รู้ดี ช่วงก่อนหน้านี้รัฐบาลบุกเบิกเขตพื้นที่ใหม่ เยี่ยซิงกรุ๊ปซื้อที่ดินไปเตรียมจะเผยแผนการใหญ่ อีกทั้งยังกำหนดให้อาคารบนพื้นที่เป็นที่พักอาศัยชั้นดี ใครจะรู้ล่ะว่าแม้เขตพื้นที่ใหม่สภาพแวดล้อมจะดี แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการกลับไม่ได้เรื่อง ถนนหนทางที่สะดวกยังเข้าไม่ถึง แค่ก้าวแรกอย่างช่วงจองห้องล่วงหน้าก็ขาดทุนแล้ว ต่อมาเงินทุนของเยี่ยซิงหมุนเวียนไม่ดีนัก วันส่งมอบห้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เกือบจะกลายเป็นอาคารที่สร้างไม่เสร็จเพราะประสบปัญหาทางการเงิน จนกระทั่งตอนที่เยี่ยซิงคิดจะโยนทิ้งเปลี่ยนมือ นักพัฒนาในสายงานก็ไม่กล้าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ในเวลานั้นเองลี่เจ๋อเหลียงก็ยื่นมือเข้ามากว้านซื้อด้วยราคาที่ต่ำสุดๆ จากนั้นก็เซ็นซื้อที่นารกร้างรอบๆ ไปด้วยกัน ตั้งแต่ที่ดึงดูดครูมีชื่อเสียงมาสร้างโรงเรียนเลื่องชื่อ* ก็ทำให้พื้นที่ทั้งหมดดำเนินการบุกเบิกได้ครบวงจร ทั่วทั้งเขตพื้นที่ใหม่เปลี่ยนไปเป็นเขตเมืองหลักของเขตพื้นที่โดยรอบ ผลงานชิ้นใหญ่ที่สร้างขึ้นมาเองกับมือนี้ หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทรัพย์สมบัติที่อยู่มาถึงสามรุ่นของตระกูลลี่คงเกือบสูญไปในชั่วพริบตาเดียว ทว่าเขาก็ทำสำเร็จ
ปีนั้นลี่เจ๋อเหลียงอายุยี่สิบหกปี
“ตอนนี้เยี่ยซิงทำการค้าขายเล็กๆ ขยายกิจการไปทีละเล็กละน้อยอยู่ในเมือง A ส่วนลี่ซื่อกรุ๊ปก็กลายมาเป็นผู้นำในวงการนี้” หยางวั่งเจี๋ยทอดถอนใจ