Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1
(2)
วันรุ่งขึ้น เสิ่นเสี่ยอี้มาถึงบริษัทแต่เช้าอีกครั้ง
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ในสวนสาธารณะเล็กๆ ที่เคยหยุดพักก่อนหน้านี้ ก่อนจะเห็นลี่เจ๋อเหลียงลงจากรถ เขายังคงทำเหมือนเวลาที่มาทำงานตามปกติ ไม่ได้ลงรถที่ลานจอดรถใต้ดิน
ตอนนี้พอเสิ่นเสี่ยอี้มองให้ละเอียดก็พบว่าขาขวาของเขามีปัญหาจริงๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนพิการเสียหน่อย ก็แค่ความเร็วในการเดินของขาขวาช้ากว่าขาซ้ายไปบ้าง เวลาที่เขายกขาขึ้นก็ยกได้ค่อนข้างต่ำ
เขาขึ้นบันไดไปสองก้าวแล้วเข้าไปในตัวอาคาร เสิ่นเสี่ยอี้เดินตามขึ้นไปก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงเดินอ้อมลิฟต์แล้วก้าวเข้าไปในห้องบันได
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาจะเดินขึ้นบันไดไป
เมื่อสรุปผลภายในใจได้อย่างนี้แล้ว เสิ่นเสี่ยอี้ก็ตกใจมาก นี่จะเป็นไปได้ยังไง ห้องทำงานของเขาอยู่ที่ชั้นยี่สิบสาม ต่อให้เป็นเธอที่มีขาและเท้าแข็งแรงก็ยังเหนื่อยแทบตาย แต่ลี่เจ๋อเหลียงก็ทำมันจริงๆ
ขึ้นบันไดชั้นหนึ่งต้องหมุนร้อยแปดสิบองศา คนที่อยู่ข้างหน้าก็เลยมองไม่เห็นตำแหน่งที่ด้านหลัง ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงตามหลังไปเงียบๆ
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปข้างบน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคนอยู่ข้างหลัง ในห้องบันไดมีเสียงสะท้อนจากฝีเท้าของลี่เจ๋อเหลียง ในตอนแรกฝีเท้าของเขาเร็วจนเสิ่นเสี่ยอี้ตามไม่ทัน จากนั้นก็ค่อยๆ ช้าลง สุดท้ายกลายเป็นเชื่องช้าจนบางครั้งก็มีสะดุดบ้าง เสิ่นเสี่ยอี้จึงหยุดรออยู่ที่ข้างกำแพง กระทั่งเสียงฝีเท้าอันเชื่องช้าของเขาไกลขึ้นไปแล้วเธอถึงได้เดินขึ้นบันไดต่อ
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมเขาต้องมาบริษัทเช้าขนาดนี้ นั่นก็เพื่อให้เขาได้ต่อสู้ดิ้นรนบนบันไดอันยาวเหยียดด้วยตัวคนเดียว ผู้ชายคนนี้แม้ใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถพลิกสถานการณ์ในโลกธุรกิจได้ แต่ก็ยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ยินดีให้คนสังเกตเห็น
‘ชั้นสิบเก้า’
ขณะที่เสิ่นเสี่ยอี้เหน็ดเหนื่อยจนตาพร่าเบลอก็ไม่ลืมที่จะมองเลขชั้น จากนั้นเธอก็ตีโค้งเป็นครั้งที่สามสิบเจ็ด
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็ตื่นตะลึงอยู่ตรงที่เดิม ลี่เจ๋อเหลียงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น กำลังเผชิญหน้ากับเธอ เธอถูกจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้ว
เสิ่นเสี่ยอี้ในตอนนี้ผมฟูกระเซอะกระเซิง หน้าตามอมแมม เหงื่อท่วมไปทั้งตัว เหมือนสตอล์กเกอร์ที่จนตรอกสุดๆ แถมยังถูกจับความเคลื่อนไหวได้อีกต่างหาก
“คุณเสิ่นนี่เป็นคนกระตือรือร้นดีนะครับ เดินขึ้นบันไดแต่เช้าตรู่เลย” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวหยอกล้อ
หลังจากที่ลี่เจ๋อเหลียงเดินขึ้นบันได สีหน้าของเขาก็ดูเหนื่อยล้า ใบหน้าขาวซีด ตอนพูดจาไม่ได้ใช้น้ำเสียงเข้มงวด แต่เมื่อรวมเข้ากับสีหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างฤดูใบไม้ผลิก็ยังทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกได้ถึงลมหนาวที่โชยจากด้านหลังมาเป็นระยะ
เสิ่นเสี่ยอี้เช็ดใบหน้า ในใจลอบเถียงข้างๆ คูๆ กับตัวเอง ที่ไหนกันล่ะ ก็สนุกเรื่องเดียวกับคุณไง บังเอิญเจอกันก็เท่านั้นเอง แต่เขาคนนี้เป็นเหมือนบิดามารดาที่ให้เสื้อผ้าและอาหารกับเธอรวมถึงทั้งสำนักงานทนายความถังเฉียว อีกทั้งใจเธอเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่กล้าโต้ตอบ ทำได้เพียงกระซิบเบาๆ ในใจให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้
ทั้งสองคุมเชิงกันในฉับพลัน เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกได้ถึงท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์ที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าที่ดูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้น
เงียบงัน…
ความเงียบงันในเวลาแบบนี้ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างใจฝ่อ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นฝ่ายแอบสอดส่องความลับของเขา
เสิ่นเสี่ยอี้กระแอมขึ้นสองครั้ง ตัดสินใจว่าจะทำลายสถานการณ์ที่หยุดชะงักนี้เสีย เธอกล่าว “หนึ่งวันออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง ทำงานได้แข็งแรงถึงห้าสิบปีเชียวนะคะ”
เธอทำได้เพียงโพล่งประโยคแบบนี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ สำหรับนายทุนที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อทุกคนแล้วประโยคหลังก็ฟังดูค่อนข้างรื่นหู
“หนึ่งชั่วโมงของฉันในวันนี้สำเร็จแล้ว เชิญคุณลี่ไปต่อได้เลยค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวจบก็เตรียมเดินอ้อมลี่เจ๋อเหลียงไปด้วยความรวดเร็ว เธอวิ่งพรวดออกไปจากทางออกที่ชั้นสิบเก้า
“คุณเสิ่นครับ” คิดไม่ถึงว่าตอนที่เฉียดตัวกันนั้นลี่เจ๋อเหลียงกลับจับข้อมือของเธอไว้ “ดูเหมือนว่าคุณจะสนใจในตัวผมมากเลยนะ” ลี่เจ๋อเหลียงหรี่ตามองและยิ้มเรียบๆ ไม่มีความคิดจะปล่อยมือแม้แต่น้อย
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้ เธอถูกเขาจับข้อมือตรึงเอาไว้ ร่างกายแข็งทื่อ ใบหน้าแดงซ่านไปหมด การกระทำนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก
“ฉัน…ฉัน…” เธอรู้สึกค่อนข้างประหม่า
“ตามผมมาทำไม”
“ฉันออกกำลังกายค่ะ”
“ในเมื่อคุณเสิ่นเองก็มีงานอดิเรกนี้เหมือนกัน ถ้างั้นคราวหน้านัดมาด้วยกันเลยดีไหม” ลี่เจ๋อเหลียงเลิกคิ้ว
ถ้าคนอื่นได้ยินการเชื้อเชิญแบบนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจสักแค่ไหน แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ในบรรยากาศแบบนี้ เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มไม่ออกจริงๆ เธอฉีกมุมปากออกแล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คราวหน้าฉันตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนไปใช้ลู่วิ่งแทน”
จู่ๆ ประตูห้องบันไดก็ถูกผลักให้เปิดออก ป้าแม่บ้านสวมชุดทำความสะอาดเดินเข้ามา เธอเห็นลี่เจ๋อเหลียงก็รีบร้อนผงกศีรษะให้พลางกล่าวว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลี่” กล่าวจบก็เห็นเสิ่นเสี่ยอี้ในจังหวะต่อมา และจังหวะที่สามเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของพวกเขาทั้งสอง ป้าแม่บ้านก็เผยสีหน้าราวกับบรรลุได้ในฉับพลัน รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสิบนาที ภายในอาคารลี่ซื่อกรุ๊ปก็มีข่าวชวนให้ตื่นตระหนก
เมื่อเสิ่นเสี่ยอี้หนีกลับมาห้องทำงานของตัวเองที่ชั้นยี่สิบเอ็ดแล้วเธอก็ยังแค้นเคืองแทบตาย อดรนทนไม่ไหวอยากจะหาอุโมงค์ใต้ดินแล้วมุดเข้าไปเสีย ผ่านไปเนิ่นนานเธอถึงได้นึกคำพูดที่เมื่อก่อนเคยใช้ปลอบใจโจวผิงซินขึ้นมาได้ เธอจึงยืมมาใช้คลายความกังวลให้กับตัวเอง
ตอนที่เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะมาถึงสำนักงานทนายความถังเฉียวได้ไม่นาน เธอก็พบเข้ากับโจวผิงซินเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนอ่อนโยน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ของโจวผิงซินคับไปหน่อย เพียงแค่เธอยกมือกระดุมที่หน้าอกก็กระเด็นหลุดออกไปเสียได้ ทำเอาผู้ร่วมงานชายสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเบือนหน้าหนีไปด้วยความประดักประเดิดในทันที โจวผิงซินหน้าแดงไปหมด เธอจึงหลบเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ
ตอนที่เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปในห้องน้ำก็บังเอิญเจอเธอเข้าพอดี จึงช่วยหาเข็มกับด้ายมาเย็บกระดุมของอีกฝ่ายให้กลับเข้าที่ ทว่าโจวผิงซินเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมออกมาจากประตูห้องน้ำ ร้องไห้เป็นสาวเจ้าน้ำตา บอกว่าตัวเองไม่มีหน้าจะพบเจอผู้คนแล้ว
‘ใครๆ ก็มีช่วงเวลาที่อับอายขายหน้ากันทั้งนั้น ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะนะ’ เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยเกลี้ยกล่อมเธอ
‘ต่อไปก็ไม่มีหน้าจะเจอเพื่อนร่วมงานอีกแล้ว ฉันโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อนเลย’
‘งั้นเหรอ ถ้างั้นเธอก็โชคดีจริงๆ’ เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะพลางกล่าวไปด้วย ‘ฉันซุ่มซ่ามบ่อยๆ มาตั้งแต่เด็กเลย ยิ่งกว่าเรื่องน่าอับอายนี่เยอะมาก’
‘จริงเหรอ’
‘ตอนที่ฉันเรียนมัธยมต้น มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันสวมกระโปรงใหม่ไปโรงเรียน’ เสิ่นเสี่ยอี้กลัวว่าจะเล่าไม่ละเอียดพอจึงกล่าวเสริม ‘เป็นกระโปรงรัดรูปที่ไม่สั้นไม่ยาว ตอนเรียนวิชาภาษาครูเรียกให้ฉันตอบคำถาม ปรากฏว่าพอลุกขึ้นมาไม่รู้กระโปรงถูกส่วนไหนของเก้าอี้เกี่ยวไว้ ถ้าลุกขึ้นยืนกระโปรงก็จะถูกดึงลงไป ฉันเลยทำได้แค่โน้มเอวลงย่อตัวตอบคำถาม ตอนอายุเท่านั้นฉันทะนงตัวเป็นพิเศษ รู้สึกไม่ดีที่จะบอกเพื่อนร่วมห้อง หลังจากหมดคาบก็นั่งบื้ออยู่คนเดียว พอเลิกเรียนแล้วพวกนักเรียนเวรก็ต่างคนต่างทำความสะอาด ไม่มีใครสังเกตเห็น ฉันถึงได้กล้าดึงกระโปรงกลับลงมาช้าๆ ด้วยตัวคนเดียว’
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวต่อไป ‘อีกครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องของกระโปรงเหมือนกัน ฉันเรียนมัธยมปลายปีที่หนึ่งแล้ว ตอนนั้นฉันมีไปเรียนเสริมคณิตศาสตร์โอลิมปิก ในห้องเรียนมีรุ่นพี่ที่จะเรียนจบปีนั้นอยู่ เป็นผู้ชายที่ฉันชื่นชมมาตลอดตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ทุกๆ ครั้งเขาจะนั่งอยู่แถวสุดท้ายติดหน้าต่าง และเขามักจะนั่งที่เดิมเสมอ…’
เสิ่นเสี่ยอี้จมลงสู่ความทรงจำอันยาวนาน