Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1
ผู้จัดการภัตตาคารได้ยินเสียงก็รี่เข้ามา เกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหลายคนเข้าไปในห้องทำงานด้านหลัง ส่วนคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงจากไปทางประตูหลัง
เสิ่นเสี่ยอี้รับถุงน้ำแข็งที่พนักงานเสิร์ฟหยิบมาให้ เธอพบว่าชายคนรักของเมิ่งหลีลี่หายไปไหนไม่รู้ตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นเสียด้วยซ้ำ เธอตัดสินใจหันหน้ากลับไปดู เมื่อเห็นว่าหยางวั่งเจี๋ยยังอยู่ ในใจก็คล้ายได้รับการปลอบโยนอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดกับเขาในเชิงนั้น แต่พอตอนนี้มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้างกาย ในใจเธอก็ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายมากนัก
เมิ่งหลีลี่กล่าวอธิบายอย่างประดักประเดิด “ฉันก็แค่…เหงาเมื่ออยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าใครเขาก็มีช่วงเวลาที่เปล่าเปลี่ยวกันทั้งนั้น”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ความจริงแล้ว ความเหงาเป็นผลพวงจากการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ถ้าหากคนคนหนึ่งทำงานหกวันในหนึ่งอาทิตย์ ทุกๆ วันทำงานเกินสิบชั่วโมง เอาตัวเข้าชนจนสะบักสะบอมเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง คนคนนั้นจะมีเวลาไปเหงาได้อย่างไร
ความเหงาเป็นโรคของคนรวยจริงๆ
ก่อนจะไป เมิ่งหลีลี่กุมมือของเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้แน่น เธอกล่าวขึ้นซ้ำๆ “คุณเสิ่น ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันแก้ไขสถานการณ์”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ต่อไปมีเรื่องอะไรก็บอกฉันได้เสมอนะคะ ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันทำได้ ฉันจะช่วยเหลือคุณอย่างแน่นอนค่ะ”
ได้ยินคำสัญญานี้ เสิ่นเสี่ยอี้ก็หัวเราะออกมา “ตอนนี้ยังไม่มีหรอกค่ะ”
หยางวั่งเจี๋ยขับรถไปส่งเสิ่นเสี่ยอี้กลับบ้าน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
“ไม่เจ็บแล้ว” แค่ตบฝ่ามือเดียวเท่านั้นเอง เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย
“คุณใส่ใจเรื่องของคุณเมิ่งมากเกินไปแล้วนะ”
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวเรียบๆ “ฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง”
หลังจากที่เธอกลับไปยังอพาร์ตเมนต์แล้วก็แผ่ตัวอยู่บนโซฟา แขนขาอ่อนล้าจนเหมือนว่าจะหลุดออกจากร่างกายอย่างไรอย่างนั้น ไม่แน่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เธอเดินเข้าไปขวางช่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่า…
เสิ่นเสี่ยอี้โทรเข้าโทรศัพท์ของคนที่อยู่เมือง B
“ตงเจิ้น ฉันเอง” เธอกล่าว
วันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้ไปทำงานแล้วเจอเข้ากับเรื่องยุ่งยาก บริเวณลำคอที่เธอถูกตบบวมเป่งขึ้นมา โดยปกติต้นฤดูร้อนคนจะสวมเสื้อผ้าได้ไม่มากชิ้นนัก ซึ่งรอยบวมแดงนั้นก็เผยออกมาจากปกเสื้อเชิ้ตเล็กน้อยพอดี ใครเห็นก็รู้สึกค่อนข้างแปลกตาทั้งนั้น ในตู้รถไฟฟ้าก็มีคนเหลือบมองลำคอของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วมองเธออย่างจดจ่อตั้งใจจริงๆ มองเสียจนเสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดไปหมด
ดังนั้นหลังลงจากรถไฟฟ้าเธอจึงไปซื้อพลาสเตอร์ยาที่ร้านขายยามาสองแผ่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อแปะพวกมันเสีย พยายามปิดบังบริเวณที่บวมแดงเอาไว้ แต่หลังจากเสิ่นเสี่ยอี้แปะแล้วมองดูในกระจก เธอกลับรู้สึกว่ามันดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า นี่มันคล้ายกับรอยคิสมาร์กที่หลงเหลืออยู่หลังจากเริงสวาทกับใครมาทั้งคืน ทั้งตอนนี้ยังถูกเธอปิดบังเอาไว้อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีก พอแปะพลาสเตอร์ยาสองแผ่นนี้ลงไปตรงนั้นแล้วกลับยิ่งทำให้ผู้อื่นคิดเป็นตุเป็นตะ
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ หรือว่าจะต้องใส่ผ้าพันคอในฤดูแบบนี้? การแต่งตัวที่ขัดกับสภาพอากาศจะไม่ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้อื่นหรอกเหรอ
ก่อนมื้อกลางวัน เสิ่นเสี่ยอี้ไปส่งเอกสารที่ห้องประธาน
“คุณลี่คะ ตรงนี้มีเอกสารสองฉบับที่จำเป็นต้องให้คุณเซ็นชื่อค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้เคาะประตูพลางกล่าวไปด้วย
ลี่เจ๋อเหลียงเดิมทีกำลังพูดคุยอยู่กับเสี่ยวหลิน พอได้ยินเสียงเธอเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาเคลื่อนอย่างช้าๆ กระทั่งพบเข้ากับพลาสเตอร์ยาบนคอของเสิ่นเสี่ยอี้ก็ชะงักลงชั่วขณะหนึ่ง
เสิ่นเสี่ยอี้ดึงปกเสื้ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เสี่ยวหลินเอ่ยปากขึ้นก่อน “เสี่ยอี้ คอเธอเป็นอะไรไปน่ะ” หลังจากที่เสี่ยวหลินรับรองเสิ่นเสี่ยอี้เมื่อวันนั้นก็เปลี่ยนมาสนิทสนมกับเธอมากๆ
“อ๋อ…ฉันหกล้มมาน่ะ ก็เลยคอเคล็ด” เธอพูดไม่ออกกะทันหัน มือลูบลงบนลำคอ อธิบายอย่างทึ่มๆ
เวลานั้นเองโทรศัพท์ที่ด้านนอกก็ดังขึ้น เสี่ยวหลินวางชาที่เพิ่งยกมาลงเพื่อออกไปรับโทรศัพท์
ลี่เจ๋อเหลียงเอื้อมมือออกไปรับเอกสารจากมือเสิ่นเสี่ยอี้ “คุณรอสักครู่ ผมเซ็นแล้วจะคืนให้ทันที” จากนั้นเขาก็พลิกเปิดอ่าน
เสิ่นเสี่ยอี้จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
ชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ บนโต๊ะยังคงมีควันลอยกรุ่น ใบชาราวกับเข็มเงินลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในแก้วกระเบื้องขาวดุจหิมะ ในที่สุดก็จมลงไปช้าๆ รวมกันเป็นกองเล็กๆ อยู่ที่ก้นแก้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาระลอกหนึ่งฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ทั้งห้องเปี่ยมไปด้วยความสดชื่น
ลี่เจ๋อเหลียงเปิดเอกสารไปได้หน้าหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวนั้นไร้ที่ติ ข้อนิ้วที่ค่อนข้างยื่นออกมาเผยเสน่ห์อย่างหนึ่งของบุรุษเพศให้เชยชม ช่างงดงามเสียเหลือเกิน ผ่านไปสักครู่เขาก็หยิบปากกาแล้วเซ็นชื่อลงไปว่า ‘ลี่เจ๋อเหลียง’ สามตัวอักษรปรากฏขึ้นภายใต้ปลายปากกาที่ลื่นไหล
เขาชะงัก จากนั้นจึงเพิ่มความคิดเห็นลงไปสองบรรทัด
ผู้ชายคนนี้เขียนตัวหนังสือประณีตสวยงามเป็นที่สุด ลายเส้นชัดเจน ดุดันรวดเร็ว ตั้งตรงสง่า ยามที่เขาจรดปากกาทั้งดูหนักแน่นและนุ่มนวลอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าการแบ่งช่องไฟทุกๆ ตัวอักษรล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนิ้วมือทั้งห้า
ตอนที่คืนเอกสารให้กับเสิ่นเสี่ยอี้ เขาก็มองลำคอเธออีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “หวังว่าคุณเสิ่นจะไม่ได้เกิดคอเคล็ดตอนเปลี่ยนไปวิ่งหลังจากที่หยุดขึ้นบันไดนะครับ”
ตั้งแต่ที่เสิ่นเสี่ยอี้ถูกเขาจับได้ในห้องบันไดเมื่อคราวก่อน นอกจากเรื่องงานแล้วเธอก็ไม่ได้พบหน้าเขาสองต่อสองเป็นการส่วนตัวอีกเลย ประโยคนี้พลันทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ที่กว่าจะลืมเรื่องน่าขายหน้านั่นไปได้รู้สึกลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” เธอรีบร้อนโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี” ลี่เจ๋อเหลียงหยุดนิ่งไปชั่วขณะ “หลังจากที่คุณคอเคล็ด หมอคนไหนกันที่เขียนใบสั่งยาให้คุณแปะพลาสเตอร์ยา”
“…”
เสิ่นเสี่ยอี้สาบานได้ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะตีหน้าตายกล่าวคำพูดนี้กับเธอด้วยความเคร่งเครียด แต่ในใจของผู้ชายคนนี้ต้องกำลังแอบหัวเราะเธออยู่แน่นอน