(6)
เสิ่นเสี่ยอี้ได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ กลิ่นนั้นเกิดจากอาการจมูกอักเสบที่มีต้นเหตุมาจากภูมิแพ้ ทำให้เธออยากจามอยู่บ้าง เธอฝันเห็นบิดาด้วย บิดาโน้มเอวลงกล่าวกับเธอว่า ‘เสี่ยวอี้ มาให้พ่อดูซิว่าหน้าผากยังเจ็บอยู่หรือเปล่า’
เธอรู้สึกเศร้า น้ำตาไหลอาบแก้ม
ตอนนั้นฉันอายุเท่าไหร่นะ สามขวบหรือว่าสี่ขวบ ประมาณสี่ขวบได้ล่ะมั้ง
ตอนเด็กๆ เธอไว้ผมสั้นตลอด หน้าตาเหมือนเด็กผู้ชาย นิสัยซุกซนเป็นพิเศษ เป็นหัวหน้าเด็กขนานแท้ มักจะชูมีดพลาสติกเล่มใหญ่ตะโกนบอกให้ฆ่าฟัน
ครั้งหนึ่งเธอเคยเล่นพ่อแม่ลูก ขณะที่คนอื่นเล่นเป็นองค์หญิง เธอกลับขอเล่นเป็นฮ่องเต้ ทำเอาเพื่อนที่เดิมเล่นเป็นฮ่องเต้ต้องไปเล่นเป็นฮองเฮา จนกระทั่งตอนที่ทุกคนให้เธอเล่นเป็นเด็กผู้ชาย เธอก็บอกไปว่า ‘ฉันจะเล่นเป็นต้นไม้’
วันเด็กของทุกๆ ปีบิดาก็จะมอบของขวัญให้
ปีนั้นพ่อให้อะไรมาน่ะเหรอ เธอขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิด เป็นยานอวกาศ
ยานอวกาศลำนั้นต้องใส่ถ่าน เพียงเปิดสวิตช์ก็จะส่งเสียงดังหวืดหวือ…หวืดหวือพลางกะพริบไฟไปด้วย ขยับได้เหมือนกับรถพยาบาลในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ประหลาดใจก็คือยานอวกาศลำนั้นสามารถเลี้ยวเองได้ด้วย ถ้าเกิดกดที่ปุ่มให้มันวิ่งไปเองในบ้าน เมื่อมันเจอกับอุปสรรค หลังชนเข้าสองครั้งแล้วไปไม่ได้ก็จะหักเลี้ยวอย่างชาญฉลาด มุ่งหน้าวิ่งไปยังทิศทางอื่น เธอเบิกตาโตถามบิดาด้วยความประหลาดใจ
เขาตอบว่า ‘นี่เป็นเวทมนตร์ที่พ่อใส่เอาไว้น่ะสิ’
ตอนที่เธออายุเท่านั้นทำอะไรก็ไม่คิดหลบเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ มีของเล่นใหม่ก็จะหยิบออกไปอวดประหนึ่งเป็นของล้ำค่า
ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าเป็นอย่างที่บิดาพูดและนำไปโอ้อวดกับบรรดาเพื่อนๆ คิดไม่ถึงว่าตงตงจะส่งเสียง ‘ชิ’ อย่างเหยียดหยามพร้อมทั้งกล่าวว่า ‘นี่มันเวทมนตร์ที่ไหนกัน พ่อเธอพูดมั่วซั่ว เห็นๆ อยู่ว่ามีคนตัวเล็กจิ๋วขับรถอยู่ข้างใน’
‘โกหก! มีคนตัวเล็กๆ ที่ไหนกันล่ะ’
‘มีก็แล้วกันน่า’ ตงตงกล่าว
‘ไม่มีๆๆ เวทมนตร์ต่างหาก! เวทมนตร์!”
‘นอกซะจากเธอจะไม่รู้จักสาวน้อยหัวแม่มือ* ไม่งั้นทำไมถึงได้ไม่รู้ว่ามีคนตัวจิ๋วอยู่’
เสิ่นเสี่ยอี้นิ่งอึ้งไปสักครู่ น้อยนักที่จะมีคนเล่านิทานให้เธอฟัง เธอไม่เคยฟังนิทานเรื่องสาวน้อยหัวแม่มือจริงๆ แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้มาก่อน ดังนั้นจึงกล่าวทั้งที่ขาดความมั่นใจ ‘ทำไมฉันจะไม่รู้จักหัวแม่มืออะไรนั่นล่ะ เธอก็เป็นแค่นิ้วมือชัดๆ’
ทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมา เริ่มแรกยังเป็นการทะเลาะกันแบบเธอประโยคหนึ่งฉันประโยคหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้ชายคนนั้นปากไวกว่าเธอมาก สุดท้ายเสิ่นเสี่ยอี้เถียงไม่ชนะก็เลยใช้ขาถีบเขาออกไป ตงตงใช้มือจับก้น น้ำตาเอ่อทั้งสองตา เบะปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
‘เธอเถียงไม่ชนะ รู้จักแต่ถีบคนอื่น’
‘ถีบนายแล้วเป็นไงล่ะ ฉันจะแงะออกดูเดี๋ยวนี้แหละ ให้พวกเขาได้รู้ว่าใครกันที่เป็นคนขี้โกหก’ เสิ่นเสี่ยอี้โกรธปึงปังวิ่งกลับไปที่บ้านแล้วหยิบคีม ไขควง กับมีดมา
‘ลูกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำไมน่ะ’ คุณแม่เสิ่นเห็นเข้าก็เอ่ยถาม
‘มีคนหาเรื่องค่ะ วันนี้หนูจะจัดการเขาซะ’
จากนั้นเสิ่นเสี่ยอี้ไม่ทันหันศีรษะกลับไปมองคุณแม่เสิ่น เธอก็วิ่งกลับไปยังพื้นที่โล่งแล้วกล่าวกับตงตงอย่างดุร้าย
‘ถ้าเกิดว่าไม่มีคนตัวเล็กจิ๋ว ต่อไปฉันจะให้นายเล่นเป็นฮองเฮา’
ผลลัพธ์ก็ไม่ได้สลับซับซ้อน ข้างในไม่มีทั้งสาวน้อยหัวแม่มือ แล้วก็ไม่มีทั้งเวทมนตร์ของบิดาด้วย มีเพียงน็อตกองหนึ่งกับเศษโลหะผุพังที่หวนกลับไปเป็นดังเดิมไม่ได้
เสิ่นเสี่ยอี้มองไปยังเศษซากกองนั้น ตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นก็ร้องจ้าปนเสียงสะอื้น ‘ทุกคนโกหกฉัน!’ ต่อมาก็ร้องไห้เสียงดังลั่น เธอโอบกอดเศษเหล็กกองนั้นราวกับของรัก เดินไปด้วยก็ร้องไห้ไปด้วย เป็นเพราะยกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ได้บนใบหน้าจึงมีทั้งน้ำตาและน้ำมูกปะปนกัน แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
ตอนที่ขึ้นบันไดกลับบ้านเธอก้าวพลาดลื่นล้มกลิ้งตกจากบันได ประเดี๋ยวเดียวศีรษะก็ชนเข้ากับราวบันได แต่เธอกลับกอดเศษซากยานอวกาศเอาไว้แน่นราวกับพร้อมสละชีวิต ทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยมือเพื่อยันมือเอาไว้ ดังนั้นหน้าผากจึงกระแทกเข้ากับขอบหินเกิดเป็นแผลยาว ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน
ตอนนั้นเธอเองก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ บิดามาเยี่ยมเธอ โน้มตัวลงกล่าวกับเธอว่า ‘เสี่ยวอี้ มาให้พ่อดูซิว่าหน้าผากยังเจ็บอยู่หรือเปล่า’
หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นแผลเป็นติดตัวเธอมาตลอด แม่เคยพูดกับคนอื่นบ่อยๆ ว่า ‘ลูกสาวบ้านเราถ้าเกิดหน้าไม่มีแผลเป็น ไม่แน่อาจจะเป็นสาวงามได้มาตรฐาน’
เธอเม้มปากหัวเราะ พลิกตัวอยู่บนเตียงโรงพยาบาล