ต่อมาเธอเพิ่งจะอายุครบห้าขวบ เนื่องจากที่บ้านไม่มีใครดูแลเธอ แต่ก็ไม่วางใจที่จะขังเธอไว้ในบ้าน เสิ่นเสี่ยอี้จึงถูกส่งเข้าโรงเรียนในชั้นประถมหนึ่ง
วันเปิดภาคเรียนอากาศยังร้อนอยู่มาก แม่ให้เธอสวมเอี๊ยมขาสั้นตัวใหม่เอี่ยม เพราะสวมกางเกงจึงขับให้ผมสั้นของเธอยิ่งดูหล่อเท่ ในห้องเรียนมีเพื่อนตัวเล็กมากมาย ทุกคนต่างไม่กลัวคนแปลกหน้า จ้อกแจ้กจอแจกันอยู่สักครู่ก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เสิ่นเสี่ยอี้เข้ากับคนง่ายมาตั้งแต่เด็ก ประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นบุคคลระดับผู้นำของห้องแล้ว ดึงดูดให้เด็กผู้ชายมากมายรู้สึกไม่พอใจ
วันต่อมา ระหว่างเรียนมีเด็กผู้ชายเดินเข้ามาถามเธอว่า ‘นายชื่อซูเสี่ยอี้งั้นเหรอ’
เสิ่นเสี่ยอี้มองรูจมูกที่มีน้ำมูกไหลย้อยของอีกฝ่ายก่อนเบือนหน้าหนีอย่างดูถูก
‘ทำไมนายถึงได้หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลยล่ะ พี่ชายคนโตบอกว่าคนอย่างนายเขาเรียกว่ากะเทย’
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เด็กผู้ชายคนนั้นก็ถูกเสิ่นเสี่ยอี้ที่กำลังเดือดดาลจับตัวพลิกคว่ำลงกับพื้น เธอตัวโตขนาดนี้ ต่อให้คนอื่นๆ บอกว่าเธอเหมือนเด็กผู้ชายเธอก็ยังฝืนยอมรับไว้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เธอเกลียดที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือทั้งๆ ที่เธอเป็นเด็กผู้หญิง คนอื่นก็ยังคิดว่าเธอตั้งใจปลอมตัวเป็นเด็กผู้หญิงอยู่ดี
ดังนั้นเธอเข้าเรียนเป็นวันที่สองก็ถูกเรียกพบผู้ปกครอง แม่ยิ้มให้ครูอย่างขอลุแก่โทษพลางกล่าวขอโทษ ในความทรงจำของเสิ่นเสี่ยอี้แม่เป็นคนสุภาพอ่อนโยนแบบนั้นเสมอมา เป็นเพราะผู้ใหญ่อารมณ์ดีเกินไปถึงทำให้เธอเอาแต่ใจแบบนี้มาตลอดใช่หรือเปล่า
เสิ่นเสี่ยอี้ที่อยู่ในฝันพลันหดหู่ขึ้นมาโดยฉับพลัน ตอนนี้เธอเป็นเด็กกำพร้ามานานแล้ว ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา…
กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเวลาเช้าของวันถัดมาแล้ว พยาบาลกำลังถอดสายยางและหัวเข็มให้เธอ
“ให้ยาอะไรเหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้หันหน้ามาถาม
พยาบาลแย้มยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไม่มีอะไรเลย แค่ฉีดยาแก้ไข้ให้ค่ะ คุณเป็นหวัด มีไข้นิดหน่อย”
“รถของเราไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ อีกสองคนที่อยู่กับฉันล่ะ”
“ไม่แน่ใจนะคะ เมื่อวานนี้ตอนที่คุณเข้าโรงพยาบาลฉันไม่ได้เป็นคนเข้าเวร อาหารเช้าบนโต๊ะเป็นของคุณนะคะ กินให้มากหน่อยจะดีที่สุดค่ะ อีกประเดี๋ยวก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
เสิ่นเสี่ยอี้มองไปที่โต๊ะ เห็นโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่ง
พยาบาลเก็บของเตรียมจะออกจากห้องไปก็หันกลับมาบอกว่า “อ้อ คุณผู้ชายที่มาส่งโจ๊กให้คุณเมื่อครู่นี้ฝากฉันบอกคุณว่าคุณมีเพื่อนอยู่ที่ห้องผู้ป่วยสามศูนย์เจ็ดนะคะ”
เสิ่นเสี่ยอี้หิวจริงๆ เธอกินโจ๊กหนึ่งชามเต็มๆ เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นชุดเดิม จากนั้นถึงได้ออกจากห้องผู้ป่วย
“สามศูนย์เจ็ด…สามศูนย์เจ็ด…สามศูนย์เจ็ด…” ปากของเสิ่นเสี่ยอี้พร่ำพูดไปด้วยก็มองหาไปด้วย สุดท้ายก็เจอป้ายห้องนี้ตรงบริเวณที่ลึกที่สุดของทางเดิน ประตูปิดอยู่ ด้านในเงียบผิดปกติ
เธอเคาะประตู
“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มเนิบช้าของชายหนุ่มดังขึ้น เธอฟังก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
เสิ่นเสี่ยอี้ผลักประตูเปิดออกก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงนั่งอยู่บนเตียง ขาทั้งสองข้างของเขาคลุมผ้าห่มไว้ ถึงอย่างนั้นหลังก็ยังตรงเป๊ะ เขาเปลี่ยนไปสวมเสื้อเชิ้ตทับด้วยเสื้อสูทตามปกติ ทว่าดูอ่อนวัยกว่าวันทั่วไปเล็กน้อย
เขาเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “อิงซงบอกว่าเอามื้อเช้าไปให้คุณแล้ว กินหรือยังล่ะ”
สีหน้าของเขาในตอนนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวานตอนโกรธเกรี้ยวแล้วคว้าเธอไว้พลางพูดว่า ‘คุณบ้าไปแล้ว’ โดยสิ้นเชิง มือของเขาถือมือถืออยู่ เสิ่นเสี่ยอี้สังเกตเห็นผ้าพันแผลที่มือของเขา น่าจะบาดเจ็บจากเมื่อวานล่ะมั้ง
“ฉัน…คุณลี่คะ…” เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี “เมื่อวานบนรถฉัน…”
เสิ่นเสี่ยอี้ลืมไปหมด กระทั่งกล่าวได้ว่าเธอไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้เพียงเธอก่อความวุ่นวายให้กับเขา จากนั้นจู่ๆ รถก็เสียการควบคุม
“ให้ตายยังไงคุณก็จะลงจากรถไม่ใช่เหรอ” ลี่เจ๋อเหลียงถามเรียบๆ
“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดขึ้นไปอีก ตอนนั้นเธอตั้งใจจะมีเรื่องกับเขาให้ได้จริงๆ เคราะห์ดีที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
“เป็นความผิดของฉันทั้งหมดค่ะ” เธอเอ่ยประโยคสุดท้ายนี้ด้วยความรู้สึกเสียใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างมาก เธอทำให้เขาเข้าโรงพยาบาล และยังไม่รู้ว่าแผลเป็นอะไรมากไหม ความจริงแล้วเธอไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้…
เสิ่นเสี่ยอี้ก้มหน้าลง สายตาหลุบมองกระเบื้องปูพื้นตรงปลายเท้า ตั้งใจคิดทบทวน ก่อนที่เธอจะอายุยี่สิบห้าน้อยนักที่จะยอมรับผิดอย่างตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ แต่ดูเหมือนลี่เจ๋อเหลียงจะไม่ได้ใส่ใจ นานแล้วเขาก็ยังไม่ตอบรับ
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที สี่วินาที