เสิ่นเสี่ยอี้ก้มจนรู้สึกเมื่อยคอ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่สายตาของเธอสบเข้ากับสายตาของลี่เจ๋อเหลียงพอดี
เขาวางมือถือลงแล้ว แขนทั้งสองข้างกอดอก ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์มองมายังเสิ่นเสี่ยอี้ โดยไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองจากเท้าขึ้นมายังหัว สุดท้ายก็กลับมามองที่ใบหน้าเธอ จ้องมองดวงตาของเธอ
ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เปลี่ยนท่านั่ง หลังพิงกับหมอนอิง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เสิ่นเสี่ยอี้ คุณจำเป็นต้องพูดอะไรกับผมหรือเปล่า” ประโยคนี้ห่างจากประโยคก่อนหน้าของเขาไม่นานนัก ทว่าเสียงออกจะแหบพร่าราวกับไม่ได้ใช้เสียงนานเกินไป ฟังดูค่อนข้างเกียจคร้าน
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วหายวับไป เธอก้มหน้าลง “ขอโทษค่ะคุณลี่ ฉันขอโทษค่ะ”
“แค่นี้เหรอ” ลี่เจ๋อเหลียงถามด้วยเสียงแหบ
“ยังมีอะไรอีกล่ะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้พลันไม่เข้าใจว่าเขาอยากฟังอะไร
ลี่เจ๋อเหลียงจ้องมองไปที่เธอ ในดวงตาปรากฏแววตาซับซ้อนยากคาดเดา
ดวงอาทิตย์ยามเช้าเป็นสีทองเจิดจ้าแต่ก็ไม่ได้แสบตา ผ้าม่านของห้องผู้ป่วยเปิดอยู่ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาตามเวลาที่เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ยามนี้อยู่ใกล้ๆ กับลี่เจ๋อเหลียงพอดิบพอดี
เสิ่นเสี่ยอี้สังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เวลานี้เมื่อมองจากใบหน้าด้านข้างของเขาในฝั่งที่โดนแสงอาทิตย์ แลเลือนรางด้วยแสงสว่างที่สาดส่องมาคล้ายมีแสงวาววับสีทองอ่อนชั้นหนึ่ง ทว่าก็ขับให้อีกฝั่งค่อนข้างมืดประหนึ่งอยู่ในเงา
ผ่านไปนานสองนาน ดวงตาของลี่เจ๋อเหลียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะผลิยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่เห็นบนใบหน้าของเขาบ่อยที่สุด เขาค่อยๆ เชิดมุมปากขึ้นก่อน จากนั้นริมฝีปากจึงค่อยๆ ขับเคลื่อนเครื่องหน้าอื่นๆ ของเขา ดูเหมือนรอยยิ้มเช่นนี้ล้วนแต่ยกขึ้นจากมุมปาก แต่เขาเองก็มักจะใช้รอยยิ้มดังกล่าวรับมือกับคนอื่นๆ สีหน้าแบบนี้บนหน้าของเขาทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการหยอกล้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเสียอีก
สีหน้านี้ไม่ได้ออกมาจากใจจริงแน่ เพราะรอยยิ้มไม่ได้ย้อมเข้าไปถึงดวงตาคู่นั้นของเขาเลยสักนิด ดังนั้นระหว่างทั้งคู่ผ่านไปครู่เดียวจึงรู้สึกห่างเหินกันกว่าเดิมเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับคำตอบของเธอมากๆ จึงเคลื่อนสายตาออกไป “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็แค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ผู้จัดการจี้ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้คุณเรียบร้อยแล้ว ถ้าสองวันนี้รู้สึกไม่ดี คุณจะโทรไปบอกเลขาฯ หลินให้ทำเรื่องลาให้คุณก็ได้นะ บริษัทจะถือว่าบาดเจ็บขณะปฏิบัติงาน”
ทุกประโยคของเขาฟังดูไม่มีอะไรให้จับผิด เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ดี จู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองจะยืนก็ไม่ใช่จะนั่งก็ไม่ใช่ ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเป็นของตกแต่งที่เกินออกมา
เสิ่นเสี่ยอี้เดินออกมา พลิกมือปิดประตู เธอยืนเงียบอยู่ที่หน้าประตูพักใหญ่ถึงได้เดินจากไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.