จากเมือง A ไปเมือง B ใช้เวลานั่งรถสามถึงสี่ชั่วโมง ตอนที่พวกเขาไปถึงเป็นเวลาเที่ยงพอดี เสิ่นเสี่ยอี้จึงโทรศัพท์เรียกให้อู๋เหว่ยหมิงไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน
หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งชะเง้อมองไปยังประตูบ้านอยู่ตลอด เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยิ้มกริ่ม
“เสี่ยอี้!”
“ป้าเริ่น” เสิ่นเสี่ยอี้พลันหันหน้าไปทักทายแทนอู๋เหว่ยหมิง
“คุณป้าเริ่นสาวจังเลยนะครับ” อู๋เหว่ยหมิงประจบประแจง
“คุณอู๋ ได้ยินเสี่ยอี้พูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ ขอบคุณนะคะที่คอยดูแลเธอ” เธอพูดไปด้วยรินน้ำชาไปด้วย พร้อมกันนั้นก็กล่าวกับเสิ่นเสี่ยอี้ว่า “เมื่อวันนั้นป้ายังพร่ำพูดกับเสี่ยวเซี่ยอยู่เลยว่าทำไมเสี่ยอี้ถึงยังไม่กลับมาเยี่ยมพวกเราสักที”
“เสี่ยฉิงล่ะคะ”
“อยู่ชั้นบนน่ะ เสี่ยวเซี่ยรดน้ำดอกไม้เป็นเพื่อนเธออยู่ หลานเข้าไปไหว้พ่อก่อนเถอะนะ” ป้าเริ่นกล่าวไปก็นำทางเสิ่นเสี่ยอี้และอู๋เหว่ยหมิงเดินไปยังแท่นบูชาในห้องหนังสือ
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะไหว้เสร็จก็ได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านนอก “แม่คะ พ่อกลับมาแล้วเหรอ”
อู๋เหว่ยหมิงได้ยินก็หันไปมอง คนที่เข้ามาเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าๆ แต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ แต่กลับแลดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าใคร เขาไม่เคยได้ยินเสิ่นเสี่ยอี้พูดเรื่องในครอบครัวมาก่อน แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนี้คือพี่สาวของเสิ่นเสี่ยอี้ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังก็คงจะเป็น ‘เสี่ยวเซี่ย’ ที่รดน้ำดอกไม้เป็นเพื่อนเธอที่ชั้นบน
“นี่คือพี่สาวของฉันเสิ่นเสี่ยฉิง ส่วนนี่คือเซี่ยหมิงเฮ่า” เธอพาอู๋เหว่ยหมิงมาให้พบหน้า
“แม่คะ พ่อล่ะคะ หอมหมื่นลี้ที่คราวก่อนหมิงเฮ่าช่วยหนูปลูกจะบานแล้ว หอมมากๆ เลย” ระหว่างที่กล่าวไปสายตาของเสิ่นเสี่ยฉิงก็เหลือบมองไปยังอู๋เหว่ยหมิง
อู๋เหว่ยหมิงอยากจะทักทายเธอ แต่กลับเห็นแววตาของเธอแวบผ่านไปราวกับไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
เธอเองก็ไม่ได้ทักทายเสิ่นเสี่ยอี้ด้วยเหมือนกัน ทำให้เขาพลันรู้สึกแปลกๆ
ระหว่างกินข้าวเสิ่นเสี่ยฉิงเห็นที่นั่งว่างอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นกะทันหัน “พ่อออกไปเข้าสังคมอีกแล้วเหรอคะ”
ทันใดนั้นอู๋เหว่ยหมิงก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
“มองออกแล้วหรือยังล่ะ”
หลังมื้ออาหาร เซี่ยหมิงเฮ่ากล่อมเสิ่นเสี่ยฉิงนอนกลางวัน ป้าเริ่นไปเก็บชามกับตะเกียบ ส่วนเสิ่นเสี่ยอี้นั่งลงบนโซฟาพลางเอ่ยกับอู๋เหว่ยหมิง
“ก็แปลกอยู่นะ” เขากล่าวตรงๆ
“เธอจำได้แค่สามคน คือป้าเริ่น พี่หมิงเฮ่า แล้วก็พ่อของฉัน คนอื่นๆ ที่ปรากฏตัวแล้วมีฉันรวมอยู่ด้วยก็จะถูกเธอกรองออกไปโดยอัตโนมัติ แต่ขอแค่ไม่พูดอะไรมาก ใครหลายๆ คนก็คิดว่าเธอปกติดี” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวอย่างสงบนิ่ง “หลายปีมากแล้ว พวกเรารับสถานการณ์ปัจจุบันได้ทั้งหมดแล้วล่ะ”
อู๋เหว่ยหมิงมองไปยังเสิ่นเสี่ยอี้ก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าความเข้มแข็งและดื้อรั้นของเพื่อนรักคนนี้ได้มาจากไหน
ภายในห้องนอน เซี่ยหมิงเฮ่ากำลังสอดผ้าห่มให้เสิ่นเสี่ยฉิงที่หลับสนิท
เสิ่นเสี่ยอี้ยืนพิงกับประตู เธอยิ้มพลางมองไปยังอากัปกิริยาของเซี่ยหมิงเฮ่า “พวกเขาบอกว่าตอนเด็กๆ พี่เองก็มีความอดทนดีแบบนี้ มักจะรอพี่สาวเลิกเรียนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอ ต่อให้เธอจะใส่อารมณ์กับพี่ พี่ก็ไม่โกรธ”
“ตอนเด็กๆ พวกเราสองคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง” เซี่ยหมิงเฮ่าหัวเราะไปกล่าวไป
“พี่สาวมีโอกาสจะดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ”
“มีอยู่แล้วล่ะ ไม่แน่คราวหน้าเธอกลับมาพี่สาวเธออาจจะจำเธอได้แล้วนะ”
“พี่ก็พูดอย่างนี้ทุกทีนี่นา” เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มเจื่อนๆ “ที่ผ่านมาเธอไม่ชอบฉันสักเท่าไหร่ นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่รู้จักฉัน”
“ชู่ว…” เขาทำมือให้เสิ่นเสี่ยอี้เงียบเสียง “เธอพูดอย่างนี้เสี่ยฉิงได้ยินจะไม่พอใจเอานะ ระหว่างพี่สาวน้องสาวแท้ๆ มีความแตกต่างระหว่างชอบหรือไม่ชอบที่ไหนกันล่ะ เธอเองก็เป็นทนายแล้ว ยังจะพูดจาใจแคบอย่างนี้อีก”
“หาได้ยากมากที่พี่ไม่ห่างไม่ทิ้งเธอไปไหนเลย” เสิ่นเสี่ยอี้ทอดถอนใจ ต่อให้เป็นคนใกล้ตัวก็ยากที่จะทำได้
“ฉันรู้สึกมาตลอดว่าการได้ดูแลเสี่ยฉิงเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในโลกน่ะ อีกอย่างตอนนี้พอเธอเชื่อฟังแล้วก็ดูน่ารักกว่าแต่ก่อนด้วย” เซี่ยหมิงเฮ่ากล่าวปิดท้าย