เสิ่นเสี่ยอี้ไม่รู้สึกห่างเหินกับท่วงทำนองของเพลงเพลงนี้ แต่ต่อให้เธอฟังเพลงสักกี่รอบก็ไม่เคยมีนิสัยอ่านเนื้อเพลงมาก่อน อีกทั้งเธอก็ไม่ได้ภาษาจีนกวางตุ้งเลยสักนิด ถ้อยคำในเพลงนี้มีความหมายว่าอย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจทั้งหมด เพียงได้ยินประโยค ‘กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้’ ซ้ำแผ่วเบา
ลี่เจ๋อเหลียงอิงศีรษะลงกับเบาะอย่างเชื่องช้า หลับตาลงกึ่งหนึ่ง มุมปากเชิดขึ้น เป็นสีหน้าเคลิบเคลิ้มโดยสมบูรณ์ มือขวาของเขาวางอยู่บนเข่า ปลายนิ้วขึ้นลงตามจังหวะเพลง นิ้วมือของเขายาวมากๆ พอดูให้ละเอียดก็พบว่าพวกมันมีรูปร่างที่งดงามมากจริงๆ เล็บถูกตัดแต่งไว้สั้นกุด ส่วนที่ติดกับเนื้อถูกแต่งไว้ให้ดูเอิบอิ่มและชุ่มชื้น เผยให้เห็นสีชมพูแข็งแรง
จู่ๆ เธอก็คิดถึงภาพเหตุการณ์เช้าวันนั้นตอนเขาจับเธอที่ห้องบันได
ตอนที่นิ้วมือสวยงามขนาดนี้ออกแรงเบาๆ กุมข้อมือของเธอเอาไว้ ก็ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ได้ยินหัวใจเต้นรัวเร็วดังตึกตักอยู่สักครู่
ถ้าหากบอกว่าช่วงเวลาที่ได้พบหน้าลี่เจ๋อเหลียงเธอไม่ได้ถูกเขาดึงดูดเลยแม้แต่น้อย นั่นก็นับเป็นเรื่องโกหกแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่สามารถทำให้หญิงสาวหลายต่อหลายคนใจเต้นได้จริงๆ อีกทั้งเขาคนนี้ก็ปฏิบัติกับผู้อื่นใกล้ไกลแตกต่างกัน ยากจะจับต้องได้ แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ร้ายกับเธอ หากไม่กล่าวถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นกับครอบครัวที่มีชื่อเสียงและอำนาจเหนือผู้อื่น กล่าวถึงเพียงอุปนิสัยที่แปรปรวนยากคาดเดา เท่านี้ก็พอจะทำให้ใครต่อใครหลงใหลแล้ว
ทว่าบนโลกใบนี้เรื่องราวทุกอย่างง่ายดายอย่างแค่รักหรือไม่รักที่ไหนกัน เธอแสร้งทำเป็นกระแอมสักครู่เพื่อยับยั้งความรู้สึกอันรุนแรงนี้เอาไว้
“น่าสนใจนี่” ลี่เจ๋อเหลียงหลับตาพลางเอ่ยถาม “เพลงนี้มีชื่อว่าอะไร”
คำถามนี้ตัดบทความคิดของเสิ่นเสี่ยอี้ในทันใด จี้อิงซงที่อยู่เบาะหน้าไม่มีท่าทีว่าจะตอบคำถามแม้แต่น้อย คิดว่า ‘ท่อนไม้จี้’ คนนี้คงไม่ได้ฟังเพลงอะไรเท่าไร หรือว่าลี่เจ๋อเหลียงจะกำลังถามเธออยู่
“ชื่อว่า ‘ไร้รัก’ ล่ะมั้งคะ” เสิ่นเสี่ยอี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“ไร้รัก? ไร้รักกลับ ‘กำชับสายลมค่ำคืนส่งไปเบาๆ รักละมุนหมื่นพันลี้’ บนโลกนี้ที่สุดแล้วมีรักแล้วทุกข์หรือว่าไร้รักแล้วทุกข์กันแน่” ตอนที่เขากล่าวประโยคนี้น้ำเสียงไม่ได้สูงขึ้นแต่อย่างใด ฟังดูแล้วชัดเจนว่าไม่ได้เป็นคำถามตัวเลือก ขณะเดียวกันก็ฟังไม่เหมือนกับคำถาม ราวกับไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายตรงข้ามตอบ อีกทั้งน้ำเสียงของเขายังเจือด้วยความรู้สึกขมขื่นจางๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ดูไม่ออกเลยว่าคุณลี่ที่อยู่ในวงการธุรกิจทั่วทุกสารทิศจะเป็นคนอ่อนไหวมากทีเดียว” เสิ่นเสี่ยอี้รับคำ “ปากบอกว่าไม่แต่ใจรัก ‘รัก’ คำนี้แท้จริงไม่ได้น่าทุกข์ทนอะไร ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ น่ากลัวแค่ว่าจะมีคนบางคนฝืนแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ” เธอกล่าวไปด้วยก็เหลือบมองจี้อิงซงที่อยู่ข้างหน้าราวกับมีถ้อยคำแฝงในใจ
ลี่เจ๋อเหลียงเองก็มองจี้อิงซงด้วยความเบิกบานใจ จะว่าไปก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องระหว่างเสี่ยวหลินกับจี้อิงซง จี้อิงซงในตอนนี้ถูกสายตาที่อยู่ทางด้านหลังทั้งสองคู่มองจนรู้สึกอึดอัด แวบหนึ่งก็เกือบจะฝ่าไฟแดงออกไปแล้ว
“เอาล่ะ” ลี่เจ๋อเหลียงออกหน้าเพื่อให้จบลงด้วยดี “สายตาแบบนั้นของคุณใช้กับผมไม่สำเร็จหรอก แต่ถ้ามองไปที่อิงซงก็น่ากลัวว่าจะทำให้เขาอาหารไม่ย่อย”
ถ้อยคำคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่กลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิด ความหมายของคำพูดนี้ของเขาก็คือก่อนหน้านี้แววตาไม่เป็นมิตรที่เธอตำหนิเขาอยู่เป็นเวลานานล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด หรือจะบอกว่าเขาจับได้เรื่องที่เมื่อสักครู่เธอฉวยโอกาสตอนเขาหลับตาพักผ่อนพิจารณาเขาอย่างกำเริบเสิบสาน?
ขณะนั้นเองมือถือของลี่เจ๋อเหลียงก็ดังขึ้น เสิ่นเสี่ยอี้ดูไม่ออกว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นรุ่นอะไร แต่ดูจากหน้าตาก็น่าจะเป็นรุ่นที่เพิ่งออกมาไม่นาน ที่เหนือความคาดหมายก็คือมือถือใหม่มาก ทว่าเสียงเรียกเข้ากลับเป็นเสียงโมโนโทนเก่าแสนล้าสมัย
ความชอบนี้ของเขา คนที่เคยได้ยินต่างก็รู้สึกว่าช่างแปลกประหลาด
เป็นสายโทรศัพท์จากผู้จัดการเซวียฉีกุย ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอ่าวหลันเถียน
ลี่เจ๋อเหลียงฟังไปพลางล้วงบุหรี่ขึ้นมา
เมื่อวางสายแล้ว จู่ๆ จี้อิงซงก็กล่าวขึ้นกะทันหันว่า “คุณลองคิดทบทวนอีกครั้งดีมั้ยครับ”
ลี่เจ๋อเหลียงเดิมอยากจุดบุหรี่ก็หยุดชะงักราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาเก็บไฟแช็กกลับลงไป “โครงการนี้เป็นก้าวแรกที่ลี่ซื่อกรุ๊ปจะเคลื่อนพลเข้าสู่เมือง B ฉันไม่อยากทบทวนอะไรอีก”
“ผมคิดว่า…” จี้อิงซงมองลี่เจ๋อเหลียงผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง
“อิงซง ก่อนหน้านี้นายไม่เคยเป็นคนแบบที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอมาก่อนเลยนะ” ลี่เจ๋อเหลียงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา ตัดบทคำพูดของจี้อิงซงเข้าพอดี
รอยยิ้มแบบนั้นเป็นการตักเตือนอย่างหนึ่ง
จี้อิงซงเงียบได้ทันเวลา