ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 67 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 67

3 of 3หน้าถัดไป

แล้วอิ๋งจิ่งก็เดินทางกลับปักกิ่งในวันต่อมา เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยในทันที นั่งรถบัสจากสนามบินตรงไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อกลับไปที่ซิ่งเฉิง

เหมือนจะเปลี่ยนทหารเฝ้ายามตรงประตูทางเข้าลานกองทัพบกเป็นชุดใหม่ เมื่ออิ๋งจิ่งเดินเข้าไปยังถูกขวางไว้ ขอบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทราบชื่อแซ่อายุ ถามว่าเขามาติดต่อหาใคร

ทหารชั้นผู้น้อยพูดจาฉะฉาน อายุพอๆ กันกับเขา สายตาเที่ยงตรง มีความองอาจน่ายำเกรง

อิ๋งจิ่งเข้าใจในกฎเกณฑ์ ถามอะไรก็ตอบไปตามนั้น ล้วงบัตรประชาชนออกมายื่นให้อีกฝ่ายไป ผลสุดท้ายทันทีที่อ่านเจอว่าที่อยู่ของครอบครัวซึ่งเขียนไว้ด้านบนบัตรคือสถานที่แห่งนี้ ทหารชั้นผู้น้อยก็เข้าใจแล้วรู้สึกอายๆ นิดหน่อย ก่อนจะวางกระบอกปืนลง

“ขอโทษครับ ผมเพิ่งมาประจำการได้ไม่นาน แล้วก็ไม่เคยเจอคุณในวันธรรมดาก็เลยไม่ทราบครับ”

อิ๋งจิ่งรีบพูด “ไม่ต้องขอโทษครับ โทษผมเอง ผมไปเรียนข้างนอก น้อยครั้งที่จะกลับมา” เขาเป็นมิตรเสมอ ชอบทำความรู้จักหาเพื่อน เจอหน้ากันครั้งเดียว พูดจาสองคำก็สามารถแยกแยะได้แล้วว่าสามารถเข้ากันได้ไหม

ทั้งสองรู้สึกถูกใจกันมากทีเดียว อิ๋งจิ่งยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาวจั๊วะให้กับทหารชั้นผู้น้อย “อีกนานแค่ไหนนายถึงจะเปลี่ยนกะ”

อีกฝ่ายพลันตกใจ “เอ๋? อ๋อ ห้าโมงครับ”

“ห้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามบาสเกตบอล นัดนายเล่นแบบครึ่งสนามกัน” อิ๋งจิ่งชี้นิ้วไปทางขวา “อย่าไปหาผิดที่นะ สนามบาสเกตบอลทางฝั่งตะวันตก”

ทหารชั้นผู้น้อยหน้าตากระตือรือร้น ขาสองข้างชิดกันทำท่าตะเบ๊ะ “ครับผม!”

อิ๋งจิ่งเข็นกระเป๋าเดินทาง เดินฮัมเพลงชาติไปพลาง

 

เมื่อถึงบ้าน ชุยจิ้งซูยุ่งง่วนจนทำงานเสร็จตั้งแต่เช้า ที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่อิ๋งจิ่งชอบกิน ถ้วยชามมีทั้งแบบกลมแบบเหลี่ยมวางรวมกลุ่มอยู่บนโต๊ะอาหาร ดูช่างเป็นนายหญิงที่ใส่ใจพิถีพิถันในรายละเอียดของชีวิต

อิ๋งจิ่งเหมือนเป็นแรงงานต่างด้าวที่หวนกลับบ้านเกิด หอบกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ แถมยังตัวดำคล้ำแดด

เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ชุยจิ้งซูกำลังยกซุปปลาเดินออกมาจากในห้องครัว ครั้นเงยหน้าขึ้นมามองก็ตกใจ

“ว้าย! เจ้าหนู เธอมาหาใครเนี่ย”

อิ๋งจิ่งยิ้ม “ผมมาหาแม่ผมครับ ผมว่าคุณคล้ายๆ แม่ผมนิดหน่อยนะ” จากนั้นเขาก็รับซุปปลาจากในมือของอีกฝ่ายมา เข้าไปกะพริบตาใกล้ๆ “คุณช่วยเนียนๆ เป็นแม่ให้ผมหน่อยนะ”

ชุยจิ้งซูถูกหยอกจนขำ “เจ้าเด็กซน!”

“ไหนพ่อผมล่ะ” อิ๋งจิ่งวางซุปเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงที่โต๊ะเอามือคีบอาหาร ทำเสียงโฮกๆ กินอย่างเอร็ดอร่อย

มีเสียงฝีเท้าลงบันไดมา อิ๋งอี้จางพูดด้วยเสียงเข้มงวด “ทำตัวเหมาะสมไหม ห้ามใช้มือ!”

อิ๋งจิ่งรีบลุกขึ้น ยืนตัวตรงแหน็วและโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “รับบัญชา!”

อิ๋งอี้จางมีสีหน้าผ่อนคลายลง เจ้าลูกชายคนนี้ ไม่ทำให้ขายหน้า

กับข้าวห้าอย่าง น้ำซุปหนึ่งอย่าง นั่งกินอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว

อิ๋งจิ่งหิวจนหน้ามืด พุ้ยข้าวทั้งชามอย่างคล่องแคล่วว่องไว “เมื่อไหร่พี่สาวผมจะกลับมา”

“เธอท้องโตแล้ว แถมขี้เกียจ เลยขลุกตัวอยู่ที่บ้าน ตอนนี้พี่เขยลูกก็อยู่ในช่วงหยุดพักผ่อนพอดี คอยดูแลเธออยู่ที่บ้านด้วย”

ชุยจิ้งซูคีบหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ในชามของเขา และปัดตะเกียบของอิ๋งอี้จางที่ยื่นเข้ามา “ตาอิ๋ง คุณห้ามทานแล้วนะ สองวันนี้ความดันโลหิตไม่คงที่เลยนะ ระวังหน่อยสิ”

อิ๋งอี้จางทำตัวว่าง่าย จ้องเนื้อหมูในชามนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายก็พูดตักเตือนอิ๋งจิ่งว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรต่อไปลูกกลับมาบ้านให้น้อยๆ หน่อย”

อิ๋งจิ่ง “?”

“ทุกครั้งที่ลูกกลับมา แม่เค้าทำอาหารพวกเนื้อสารพัดอย่าง แต่พ่อทานไม่ได้ไง”

แหมนะ ยังจะมาโมโหใส่

ชุยจิ้งซูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “จ้าๆๆ คุณทานได้ มากสุดแค่สองชิ้นนะ”

“สามชิ้น” อิ๋งอี้จางยังต่อรอง

ไม่รอให้แม่พูดอะไร อิ๋งจิ่งก็คีบเนื้อหมูในชามของตัวเองชิ้นนั้นไปให้พ่ออย่างรวดเร็ว “ตกลง!”

เจ้าพ่อลูกสองคนนี้

ชุยจิ้งซูเขี่ยผักพลางส่ายหน้า “เกิดมาเพื่อสยบฉันสินะ”

บรรยากาศสนิทสนมเป็นกันเอง เป็นมื้ออาหารที่บรรยากาศครึกครื้นมาก

อิ๋งอี้จางถามเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายเดินทางไปเสฉวนและทิเบตในครั้งนี้ อิ๋งจิ่งเก่งในความคิดเชิงตรรกะเป็นอย่างมาก ใส่ใจในเรื่องที่เคยทำจดจำทั้งหมดได้ขึ้นใจ จัดลำดับแยกแยะเป็นหมวดหมู่ รู้ลำดับความสำคัญชัดเจน เมื่อเขาตอบก็ล้วนอัดแน่นเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ เป็นคนที่ศึกษาอย่างแข็งขัน ไม่ยอมปล่อยให้เสียโอกาสไป

อิ๋งอี้จางเองก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ ยกประเด็นขึ้นมาพูดอยู่เรื่อยๆ และถามอีกว่า “ถัดจากนี้ลูกมีวางแผนอะไรต่อไป”

“ผมอยากพัฒนาเทคโนโลยีการจำลองเสมือนจริงของเราในตอนนี้ให้เป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นและมุ่งมั่นเจาะจงให้มากขึ้น ผมอยากมุ่งเน้นศึกษาวิจัยในการสร้างแบบจำลองของเครื่องยนต์อากาศยาน เรื่องนี้เป็นทั้งอุปสรรคที่ยากลำบากสำหรับแวดวงอุตสาหกรรมนี้ และก็เป็นจุดพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วย”

อิ๋งอี้จางไม่ถามอะไรมากความ ตราบใดที่อิ๋งจิ่งยังมีทิศทางไปและมีความคิดของตัวเอง คนคนนี้ไม่มีทางพลาดได้แน่นอน

สำหรับเรื่องที่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ จะลำบากหรือไม่ จะยืนหยัดได้หรือเปล่า เรื่องนั้นต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

จะรีบร้อนไม่ได้

ครั้นพูดกันมาถึงตอนจบก็เงียบไปในช่วงสั้นๆ

หลังจากข้าวห้าชามตกถึงท้อง และอิ๋งจิ่งก็กินไปพอสมควรแล้ว เขาจึงวางชามกับตะเกียบลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พ่อ แม่ ผมมีเรื่องจะบอกพ่อกับแม่นะ”

ท่าทางแบบนี้ทำให้คนต้องสนใจฟัง

ชุยจิ้งซูมองเขาอย่างเป็นกังวลนิดหน่อย “เกิดอะไรขึ้น”

“ผมมีแฟนแล้วนะ”

แหม~ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

ชุยจิ้งซูกับอิ๋งอี้จางไม่ได้แปลกใจ ในวัยยี่สิบกว่าปีกำลังเป็นช่วงวัยรุ่นที่เปี่ยมด้วยพลัง ถ้าไม่มีแฟนนี่สิถึงจะแปลก

ชุยจิ้งซูคลายกังวล พูดคุยอย่างผ่อนคลาย “แฟนลูกเป็นเพื่อนร่วมชั้นเหรอ”

“ไม่ใช่” อิ๋งจิ่งพูด “พ่อกับแม่ก็เคยเจอนะ”

“เคยเจอ?” ชุยจิ้งซูใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก็ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร

“ชูหนิงไง”

สิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย…บรรยากาศพลันแน่นิ่ง

อิ๋งอี้จางสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้สะทกสะท้าน ทว่าก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร แต่ชุยจิ้งซูหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ประธานหนิงเหรอ เธอเป็นผู้ลงทุนในโครงการของลูกไม่ใช่เหรอ” เธอคิดลึกคิดมาก แสดงความกังวลออกมาทันที “เสี่ยวจิ่ง ลูกมีเรื่องปิดบังที่ลำบากใจจะพูดหรือเปล่า โครงการสำคัญก็จริงนะ แต่ก็อย่าสละทิ้งคุณธรรมประจำตนที่สำคัญยิ่งกว่าเพื่อสิ่งเหล่านี้สิ!”

เธอกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นคำพูดที่หนักแน่นด้วยเหตุผล ชุยจิ้งซูจริงจังเป็นอย่างมาก

คำพูดนี้ช่างร้ายกาจดุดันเกินไป อิ๋งจิ่งไม่ได้ทักท้วง ทว่าอิ๋งอี้จางกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พอใจก่อน เขากระแอมกระไอ

“ทำไมพูดจาแบบนั้น ในเรื่องของหลักการความถูกต้องแบบนี้ ผมเชื่อว่าเสี่ยวจิ่งสามารถยึดถือได้อย่างหนักแน่นเลยนะ”

อิ๋งจิ่งเองก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดเกินไป “แม่ แม่คงไม่ได้นึกว่าผมจะขายตัวเองเพื่อให้ได้เงินทุนมาหรอกนะ!”

ชุยจิ้งซูตบศีรษะตัวเองเบาๆ “ก็ที่พูดไปไม่ใช่ว่าแม่…ร้อนใจเหรอ”

“ผมกับชูหนิงเต็มใจกันทั้งสองฝ่าย เราสองคนชอบกันจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแน่นอน” อิ๋งจิ่งหลังตรง สายตาจริงใจ

“แต่ว่า…แต่ว่าเธอ…” ชุยจิ้งซูไม่อาจเข้าใจได้เลย ภายในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่คิดไว้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน ท้ายที่สุดก็พูดออกมาเสียงเบาๆ “…แต่ว่าเธออายุมากกว่าลูกนะ”

“อายุมากกว่าผมแล้วยังไงล่ะ เขาใช้ชีวิตมามากกว่ากี่ปีเอง ที่มาเป็นแฟนผม เอาจริงๆ แล้วเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ!” อิ๋งจิ่งโต้แย้ง

ชุยจิ้งซูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกกับเหตุผลบ๊องๆ นี้ “งั้นขอถามสักคำ ทำไมลูกอารมณ์ขึ้นขนาดนี้ล่ะ”

อิ๋งจิ่งหนักแน่นในจุดยืนอย่างยิ่ง “แม่ก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ทำไมถึงมีความคิดโบราณคร่ำครึแบบนี้ ไม่น่ารักเลยสักนิด อีกอย่างผมไม่ชอบเลยนะกับการที่เอาเรื่องอายุผู้หญิงมาพูดถกอยู่เรื่อย แค่พูดต่อหน้าผมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ต่อไปห้ามพูดต่อหน้าชูหนิงเป็นอันขาด!”

ดูจากการตอบสนองที่รุนแรงขนาดนี้ ทั้งสองคนต้องเคยทะเลาะกันเรื่องนี้มาก่อนแน่นอน

ชุยจิ้งซูไม่พูดอะไรอีก แต่ยังคงแสดงออกทางสีหน้าด้วยความหงุดหงิดไม่สบายใจ เธอสบตากับสามีเล็กน้อย แอบบอกเป็นนัยว่า ‘คนเป็นพ่ออย่างคุณพูดจาอะไรบ้างสิ!’

“ผมขอบอกพ่อกับแม่ไว้ก่อนเลยนะ อย่างแรกคือผมเคารพพ่อกับแม่ อย่างที่สอง ผ่านไปอีกสักพักผมจะพาชูหนิงมาที่บ้านอย่างเป็นทางการ พ่อกับแม่ห้ามแสดงปฏิกิริยาประหลาดใจ และห้ามทำให้เธอรู้สึกอึดอัดกระดากใจเด็ดขาด”

ในที่สุดอิ๋งอี้จางก็เอ่ยปาก “จะรีบร้อนอะไรกัน ที่ลูกพูดมาเป็นชุดนี่เป็นการท่องตำรารึไง แม่ลูกพูดออกมาเพราะความเป็นห่วง ถามนิดถามหน่อยจะเป็นไรไป เสี่ยวจิ่ง เอาใจเขามาใส่ใจเราสิ จะพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่ไม่ได้นะ”

อิ๋งจิ่งทำแก้มตุ่ยและพยักหน้า “ครับ”

เขายอมรับความผิดได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ไม่โกรธเคืองกับใครทั้งนั้น คราวนี้อิ๋งอี้จางจึงมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงและเอ่ยถาม

“แล้วลูกคิดยังไงล่ะ”

อิ๋งจิ่งตอบ “ผมคิดว่าจะแต่งงานหลังจากเรียนจบ”

ชุยจิ้งซูแทบอกอีแป้นจะแตกอยู่รอมร่อ “ละ…ลูก!”

อิ๋งอี้จางเองก็ตกตะลึง แต่ข่มอารมณ์สงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว จับตะเกียบหยิบเลือกผักใบเขียวขึ้นมา หยิบเลือกช้าๆ เหมือนกับรำไท้เก๊ก*

อิ๋งจิ่งมองความคิดของพวกเขาออก เอ่ยเสียงเรียบว่า “นี่เป็นความคิดของผมฝ่ายเดียว ยังไม่แน่ว่าเขาจะยอมแต่งกับผมนะ”

คู่สามีภรรยาเฒ่ามองตากันแล้วก็สงบนิ่งลง

อิ๋งอี้จางพยักหน้า แสดงความรับรู้ต่อเรื่องนี้ เอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความหมายลึกซึ้ง

“ลูกโตแล้ว เรื่องของตัวเองตัดสินใจด้วยความคิดของตนเองได้ พ่อต้องการเพียงแค่อย่างเดียว เป็นผู้ชายน่ะต้องมีใจยึดมั่นในความรับผิดชอบ ในเมื่อคบกันมาถึงขั้นนี้กับเธอแล้ว ก็ต้องปฏิบัติกับเธอให้ดีๆ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ในระหว่างนั้นต้องไม่ให้มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกละอายใจได้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

อิ๋งจิ่งเชิดคางขึ้น ท่าทางหนักแน่น “ขอรับ! ท่านหัวหน้า!”

“เจ้าเด็กบื้อ! ทำตัวหยิบหย่ง” อิ๋งอี้จางเป็นคนที่เที่ยงตรง มีหลักการมาก แต่มีโลกทัศน์ที่เปิดกว้าง แล้วก็เปิดใจกว้าง เขาเป็นผู้คุมหางเสือกำหนดทิศทางของครอบครัว เคยจัดการกับภาวะวิกฤตที่เกี่ยวกับมติมหาชนและการตัดสินใจทางการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน มีความอาจหาญและมีมุมมองที่ลึกซึ้งกว้างไกล

มีต้นตอบ่อเกิดดี ต้นกล้าก็ย่อมโดดเด่นดีงามตามไปด้วย

“ต่อไปถ้าลูกไปที่บ้านของชูหนิง ห้ามทำนิสัยมุทะลุแบบนี้ จะทำให้พ่อแม่เขาเห็นเป็นเรื่องตลก!” อิ๋งอี้จางพูดเตือน “ก่อนจะไป บอกกับพ่อหน่อยล่ะ จะได้เตรียมของขวัญที่สมน้ำสมเนื้อหน่อย”

ชุยจิ้งซูเหมือนอยากจะพูดทว่าก็เงียบเสียง แต่ด้วยความที่ยังนึกถึงใจลูกชายจึงเก็บอารมณ์ความอึดอัดเอาไว้และพยักหน้าเล็กน้อย

“โอเค ถ้าลูกรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีก็ดีแล้วล่ะ”

 

ปักกิ่งในเวลาเดียวกัน

ดวงอาทิตย์ตกในช่วงเย็นฉายแสงแดงฉานฉาบครึ่งฟ้า ชูหนิงจงใจจอดรถริมข้างทางระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน เลื่อนกระจกรถลงชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามเงียบๆ แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปส่งให้อิ๋งจิ่ง

คอยอยู่ไม่กี่นาที ฝั่งนั้นไม่ได้ตอบกลับมา เขากำลังเล่นบาสกับทหารชั้นผู้น้อยอยู่ที่สนามบาสเกตบอล

ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงกำยำ เป็นวัยหนุ่มที่กระตือรือร้นและตื่นตัว

ทางฝั่งนี้ชูหนิงขับรถมาจอดรถที่ลานจอดรถเรียบร้อย เธอไปเอาพัสดุที่ตู้ก่อน เป็นกล่องกระดาษทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แถมยังมีน้ำหนักนิดหน่อย ก็ไม่รู้ว่าอิ๋งจิ่งซื้อของอะไรมาให้ ชูหนิงเอากลับบ้าน หลังอาบน้ำเสร็จก็เพิ่งจะมาแกะกล่องพัสดุอย่างช้าๆ

ทันทีที่กรีดมีดเล่มเล็กแล้วเปิดกล่องออกมา เธอก็พลันตกตะลึง

…เป็นถุงยางอนามัยหนึ่งกล่อง!

ทั้งแบบเกลียว แบบตะปุ่มตะป่ำ ดิลโด้แบบหนาม มาในธีมความรักแบบก๋ากั่น ความรักซาบซ่าน ความรักแบบมิอาจต้านทานเอยอะไรเอย…

มีมากมายหลายแบบจนชูหนิงเวียนหัวตาลาย

เมื่อพลิกดูด้านล่างอีกครั้ง… โฮ่! นี่มันอะไรกันเนี่ย!

ชูหนิงหยิบออกมา มือซ้ายและมือขวาบีบไข่สีชมพูสองอัน…?

นุ่มนิ่ม เด้งดึ๋ง หนึบหนับ แล้วก็มีแบตเตอรี่

มือของชูหนิงแทบลุกเป็นไฟ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างหมดคำพูด ถ่ายรูปส่งวีแชตไปถามอิ๋งจิ่ง

 

ไอ้เกลอเสี่ยวอิ๋ง ขอโทษนะนี่มันของบ้าบออะไร?

 

อิ๋งจิ่งตอบกลับในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

‘[หื่น] [น้ำลายหก] [หื่น] [น้ำลายหก]…ของแถมจากร้านค้า มายก็อด ผมต้องคอมเมนต์พันตัวอักษรแบบดีๆ ให้เขาเลย!!’

 

ชูหนิง “…”

 

 

* รำไท้เก๊ก เปรียบเปรยว่าแสดงออกในเชิงบ่ายเบี่ยง ทำตัวอ้อมค้อม ไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจน หรือไม่พูดออกมาตรงๆ

 

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 65 เวลา 12.00 .

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com