“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว บอกกับภายนอกว่าฉันเดินทางไปทำงานที่เสฉวน ยังไม่จองวันเดินทางกลับ ใช้เวลากับเขาเถอะ แล้วก็ไม่ต้องรีบ ต้อนรับทักทายเขาด้วยน้ำชาชั้นดี” ชูหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเบอร์โทรศัพท์ของฉี่หมิงอินดัสทรีให้ฉันหน่อย ประธานแซ่เว่ยใช่ไหม ฉันจะแจ้งเขา”
ชูหนิงหากระดาษไม่เจอ จึงไขว่ห้างพาดขาขวาที่ ‘ได้รับบาดเจ็บ’ แล้วหมุนปลอกปากกาออกก่อนจะจดหมายเลขลงบนเฝือกเสียเลย มือของเธอว่องไว ตัวอักษรก็เขียนอย่างบรรจงคล่องแคล่ว เฝิงจื่อหยางเดินเข้าไปแล้วเคาะลงบนเฝือกของเธอเบาๆ อย่างร่าเริงสุดๆ
“โอ้ เฝือกจริงนี่นา เอ๋? เคลื่อนไหวได้ไหม”
ชูหนิงยกขาข้างหนึ่งขึ้น เกือบจะถีบเอาเฝิงจื่อหยางล้มคว่ำ “ไป ชิ่วๆ”
เฝิงจื่อหยางชูนิ้วโป้งขึ้นมา “ดีที่เธอนึกขึ้นได้นะ”
ชูหนิงคร้านจะกลอกตาใส่อย่างเอือมระอา โดยหลักแล้วเรื่องนี้พูดไปก็ยาว ใช้ลูกไม้แบบนี้เพื่อหลบเลี่ยงงานหมั้นของสองครอบครัวก็ไม่ค่อยจะมีเกียรติจริงๆ นั่นแหละ ชูหนิงมองดูขาข้างขวาที่หนักเทอะทะ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนกับขาข้างซ้ายของเธอที่ยังใส่รองเท้าส้นสูงอยู่
ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด
เธอยันเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ เปลืองแรง เปลืองแรงชะมัดยาด!
“นายอย่ามาพูดจาเย้ยหยันบั่นทอนกำลังใจอยู่ตรงนี้เลย ถ้านายไม่หนีไปซ่อนตัวที่ต่างประเทศ คนที่ขาจะเดี้ยงก็คือนาย” ชูหนิงหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา เริ่มขยับขาซ้ายก่อน แล้วใช้นิ้วมืองัดแหวกเฝือกที่อยู่ตรงขาขวาอีกที ท่าทางกะเร่อกะร่าน่าขำ
เฝิงจื่อหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ช่างเหมือนเสาค้ำฟ้า* จริงๆ”
ชูหนิงหันหลังไปอย่างว่องไว ขี้เกียจจะตอบ
เฝิงจื่อหยางตะโกนอยู่ข้างหลัง “ไม้ ไม้ของเธอเนี่ย!” เขาหยิบไม้เท้าที่วางพิงกับผนังขึ้นมา มองแล้วมองอีกก็ต้องเอ่ยชมอย่างเสียไม่ได้ “สมจริงมาก ทุ่มเทกับงานเหลือเกิน”
ชูหนิงเอี้ยวตัวหันกลับไปหยิบไม้เท้า คิ้วสองข้างขมวดเล็กน้อย สีหน้าหงุดหงิดรำคาญ “ฉันไม่หมั้นนะ นายไปจัดการครอบครัวนายให้เรียบร้อย”
เรื่องนี้มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ เฝิงจื่อหยางมีผู้หญิงอยู่ในใจแล้ว แต่ก็จนใจที่ตระกูลเฝิงไม่ยอมรับ มีญาติโกโหติกามากมายก็เรื่องเยอะกันทั้งนั้น สนใจแต่เรื่องฐานะครอบครัวและสถานะทางสังคมที่เหมาะสมทัดเทียมกัน ส่วนชูหนิงมีตระกูลจ้าวทางตะวันออกของเมืองเป็นที่พึ่งพิง บวกกับตัวเธอเองก็มีบริษัทขนาดใหญ่ใช้ได้ ตั้งอยู่บนตึกงามตระหง่าน สอดคล้องกับความต้องการของตระกูลเฝิงอย่างมาก
พูดตามตรง เฝิงจื่อหยางต้องการตัวหลอกที่สมบูรณ์แบบ และชูหนิงเองก็เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ของเขา ทั้งนอกและในวงการต่างก็ห้อมล้อมด้วยทรัพยากรจำนวนไม่น้อย ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการกันทั้งสองฝ่าย ร่วมมือกันได้อย่างเป็นสุข
ชูหนิงขึ้นไปบนรถแล้ว เฝิงจื่อหยางเกาะประตูรถพลางโน้มตัวลงมากำชับว่า “อย่าลืมนะ อาทิตย์หน้าไปเป็นเพื่อนฉัน…”
ชูหนิงพูดตัดบท “รู้แล้วน่า” ขณะที่หน้าต่างรถเลื่อนขึ้นจะปิด เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชา “การแข่งขันด้วยวิธีเถื่อนๆ แบบไม่เป็นโล้เป็นพาย มีอะไรน่าดูชมกันนะ”
ช่วงนี้ชูหนิงยุ่งเป็นพิเศษ งานมากมายกองพะเนินล้นมือ ต้องเสียเวลาช่วงเช้าไปกับการพบผู้อาวุโสคนหนึ่ง แถมยังต้องแกล้งทำเป็นขา ‘เดี้ยง’ อีก ในวงการของเธอจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ข้อมูลข่าวลือแค่นิดเดียวไม่กี่ชั่วโมงก็แพร่สะพัดไปทั่ว ดังนั้นอย่างน้อยเธอก็ต้องแกล้งทำเป็นเดี้ยงไปสักสามวันห้าวันเพื่อแสดงละครให้สมจริง
ตอนแรกเธอวางแผนจะกลับบริษัท แต่พอขับมาถึงประตูเจี้ยนกั๋วเหมิน จู่ๆ เลขาฯ ก็โทรศัพท์มา “ท่านประธานหนิง คนของซิ่นต๋ามาอีกแล้ว อยู่ที่ประตูทางเข้าห้องสำนักงานของคุณ บอกว่าถ้าไม่ได้พบคุณก็จะไม่ไปไหน”
ชูหนิงสีหน้าสงบ ตบขาข้างที่ใส่เฝือกของตัวเองเบาๆ “งั้นก็ให้พวกเขาคอยไปเถอะ”
ครั้นวางสายโทรศัพท์ เธอก็ถามคนขับรถว่า “ข้างหน้าก็คือจิงไท่สินะ พอถึงแล้วจอดข้างๆ เลย”
หลังลงจากรถ ชูหนิงก็ให้คนขับรถกลับไปก่อน ส่วนตัวเองก็พยุงไม้เท้าเดินอย่างเนิบนาบสบายๆ วันนี้ที่ปักกิ่งอากาศดี แสงอาทิตย์ไม่จ้าจนแสบตา ส่องสว่างกำลังดี สายลมอ่อนพัดโชย ราวกับมอบชั้นอุณหภูมิแห่งความอบอุ่นให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ชูหนิงอารมณ์แจ่มใสขึ้นทันใด ก้มหน้ามองดูขาที่ใส่เฝือกของตนเองแล้วใช้ไม้เท้าแตะๆ พื้นอีกหน ปรับอารมณ์ให้เป็นแบบอื่นบ้างก็ออกจะดีไม่น้อย
ในบริษัทของเธอมีพนักงานที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับตระกูลเฝิง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเห็นพิรุธ ชูหนิงตัดสินใจว่าในสองวันนี้จะปรากฏตัวให้น้อยหน่อย แน่นอนว่าการต่อสู้ชิงชัยชิงไหวชิงพริบกับคู่สัญญาที่จ้องจะหาเรื่องอยู่ในช่วงนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ
เดินไปได้ครึ่งทาง เลขาฯ ก็โทรศัพท์มาอีกแล้ว “ท่านประธานหนิง! คุณอยู่ที่ไหน พวกที่มาบริษัทเพื่อเฝ้าคุณเป็นคนกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขายังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามหาคุณอยู่!”
ได้ยินคำพูดแค่ครึ่งเดียว ชูหนิงก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น