สายตาของเธอจับจ้องตรงทางแยกเบื้องหน้า คนราวสามถึงห้าคนตั้งแถวกันอยู่ตรงนั้น เหมือนกับแบ่งกองทหารออกเป็นสองแถวเพื่อเฝ้าตอรอกระต่าย*
นำโดยรองประธานคนหนึ่งของซิ่นต๋าที่เคยติดต่อเรื่องธุรกิจกันไม่กี่ครั้ง พอเขาเห็นเธอเข้าก็กล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โอ้ ประธานหนิง บังเอิญจังนะ”
การแสดงออกของชูหนิงเป็นธรรมชาติสุดๆ เหมือนกับว่าบังเอิญเจอจริงๆ “แหม ประจวบเหมาะเหลือเกิน ฉันกำลังเตรียมตัวจะโทรศัพท์หาคุณพอดี”
ขณะที่เธอพูดอยู่ เขาก็เดินเข้ามาใกล้พลางยิ้มตอบ “ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็ถือโอกาสอดทนอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกับคุณลุงคุณอาทางนี้หน่อยสิ?”
มีความหมายอื่นแฝงอยู่ในคำพูด เธอย่อมรู้อยู่แก่ใจดี
จะว่าไปแล้วบุญคุณและความแค้นระหว่างสองครอบครัวก็เป็นเรื่องที่เรียบง่ายเช่นกัน ในแง่ธุรกิจก็ว่ากันด้วยธุรกิจ ล้วนอยากได้เงินกันทั้งนั้นแหละ กลุ่มซิ่นต๋านี้อยากจะขยายกิจการให้เติบโตที่ปักกิ่ง ทว่าขาดแคลนเครือข่าย ไม่รู้ว่าไปรู้จักนายหน้าคนกลางที่ดูท่าทางค่อนข้างน่าเชื่อถือจากที่ไหน ถ้าพูดถึงคุณวุฒิตามลำดับอาวุโสแล้ว แม้ชูหนิงจะอายุไม่มากก็จริง แต่ว่าประสบการณ์ในแวดวงการทำงานก็เรียกได้ว่ามีมากมายเป็นกอบเป็นกำ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับนายหน้าคนกลาง กึ่งล่อกึ่งหลอกซิ่นต๋าผู้ที่มาใหม่ให้เซ็นสัญญาราคาสูงได้อย่างมึนๆ งงๆ จนเมื่อเจ้าตัวย้อนกลับมาตรวจสอบอีกครั้งจึงได้รู้เข้าในภายหลังก็คิดจะไม่ทำสัญญาด้วยกันแล้ว
ได้เป็ดตัวอ้วนมาอยู่ในเงื้อมมือทั้งทีจะปล่อยให้มันบินหนีไปได้ยังไงกัน
ว่าแล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมา ชูหนิงมีประสบการณ์มากพอ ไม่กลัวหรอก วัดกันไปเลยสิ!
คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีเล่ห์กลอยู่บ้าง จะหลบก็หลบไม่พ้นเสียแล้ว ชูหนิงจึงปั้นหน้าให้ดูดี มีท่าทีเหมือนกับว่านอนสอนง่าย
ฝ่ายตรงข้ามเปิดประตูรถเสียแล้ว จบกัน ทันทีที่ขึ้นรถก็จะเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน** เธอเป็นฝ่ายเดินไปข้างหน้าก่อนสองก้าวพร้อมกับมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงเป็นการจับสังเกตดูด้านหลังของพวกเขาต่างหาก
จากตรงนี้ไปจะเป็นถนนสายแคบๆ สักห้าสิบกว่าเมตรจึงจะเชื่อมไปสู่ถนนเส้นในที่คับคั่งจอแจ
ชูหนิงลากขาข้างขวาที่ใส่เฝือกแล้วค่อยๆ ขยับหันทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทันใดนั้น…กริ๊งๆ
เสียงกระดิ่งรถดังก้องกังวานต่อเนื่องเป็นระยะ ราวกับมีอาคันตุกะที่คาดไม่ถึงถูกสายลมพัดหอบมา
ภาพที่ตัดสลับกันระหว่างสีเหลืองกับขาวบุกกล้ำกรายเข้ามาจากทางด้านหลัง เป็นจักรยานสีเหลืองสดใส พร้อมกับเงาร่างของผู้ที่ขี่มันซึ่งสวมใส่ชุดสเว็ตเตอร์สีขาวนั่นเอง
ชูหนิงไม่ทันได้มองดูใบหน้าของเขาให้ชัดเจน รีบโบกมืออย่างรวดเร็วแล้วส่งเสียงพูดดังลั่นทันที
“นายมาแล้วเหรอ ฉันคอยนายอยู่ตั้งนานแน่ะ!”
ครั้นอีกฝ่ายใกล้เข้ามา ชูหนิงกวาดสายตามองดูด้วยระยะเวลาที่สั้นมากๆ เป็นผู้ชายวัยรุ่น ผิวขาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา แต่ถลึงตาทั้งสองข้างจ้องมองจนกลายเป็นเครื่องหมายคำถามขนาดเบ้อเริ่มเทิ่ม
เขาจำเป็นต้องเบรกรถอย่างกะทันหัน เกิดเสียงเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด
ชูหนิงดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ ใช้วิธีการอันหยาบคายเกินกว่าจะรับไหวแต่กลับได้ผลชะงัดนัก พร้อมกับเอ่ยพูดเบาๆ อย่างรวบรัดและตรงประเด็น
“ฉันจะให้เงินนายหนึ่งพันหยวน”
ทว่าชายหนุ่มถูกขาข้างที่ใส่เฝือกของเธอดึงดูดความสนใจเข้าแล้ว เขาเองก็ตอบสนองอย่างชาญฉลาดเช่นกันด้วยการเกาหัวแกรกๆ แสดงท่าทีประหลาดใจ
“ไม่จริงน่า รังแกคนเจ็บขนาดนี้เชียวเหรอ”
“…”
ขายาวๆ ข้างหนึ่งของเขาวางเหนือพื้น ส่วนปลายขากางเกงเลิกขึ้นไปเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อเท้าที่มีเส้นเลือดปรากฏแจ่มชัด ชูหนิงจึงคิดในใจว่า อืม ไม่ได้ใส่กางเกงลองจอนสินะ
“ขึ้นรถ!”
ชูหนิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระโดดเหยงๆ ขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังด้วยขาข้างเดียว ยังไม่ทันจะนั่งให้ดี รถจักรยานก็พุ่งถลาออกไปแล้ว เนื่องจากอาการหงายหลังตามแรงเฉื่อยที่เกิดขึ้น เธอจึงจับชายเสื้อด้านล่างของเขาไว้แน่น แต่ว่าการกระทำเช่นนี้ออกแรงมากเกินไป จึงเกือบจะฉุดเอาคนหล่นลงมาจากจักรยาน