บทที่ 4 เรื่องวุ่นของคนดัง
ใช่ว่าจะไม่ชินกับการถูกมอง ก็คนมันสวยมาตั้งแต่เกิดซะขนาดนี้ ย่อมจะเคยถูกมองจนเหลียวหลังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์… ไม่สิ ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยสาว แต่การโดนมองพร้อมกับซุบซิบนินทาเหลียวหน้าแลหลัง แล้วก็ทำท่าชี้โบ๊ชี้เบ๊อะไรแบบที่เห็นอยู่นี้ฉันยังไม่เคยเจอมาก่อน แล้วฉันก็ไม่ชอบมันเลย จะให้ทำท่าชินเหมือนเควินกับเจอเรมี่คงเป็นไปไม่ได้
ต้ากับฝ้ายคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็น เพราะฉันต้องทนเดินตามหลังทั้งสองคนที่ขนาบข้างเควินอยู่ แล้วก็มีเจอเรมี่คอยชวนคุยอยู่ข้างๆ ไม่หยุดจนฉันเริ่มมึนไปหมด
วันนี้ฉันแทบไม่ได้คุยกับเควิน แต่ก็แอบชำเลืองไปทางเขาเป็นระยะ ใจเต้นแรงที่ได้เห็นเขาในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาสวมแว่นสายตา ผมไม่ได้จัดทรง ใส่เสื้อยืดกางเกงยีน ลากรองเท้าแตะแบบสวมเหมือนเด็กวัยรุ่น สะพายกระเป๋าใบโต คงจะจริงที่เจอเรมี่บอกว่าเขาบังคับเควินให้มาเป็นเพื่อนทั้งที่เควินอยากพักผ่อนมากกว่า นานๆ ครั้งเขาจึงมีวันหยุดแสนสบายแบบนี้ แล้วจริงๆ เขาก็ไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่าน น่าสงสารจัง…
แม้ว่าฉันจะบื้ออยู่บ้าง แต่พอจะดูออกว่าการมาเจอเควินกับเจอเรมี่วันนี้เป็นแผนของต้ากับฝ้าย รวมทั้งเจอเรมี่ด้วย ถึงจะลงทุนขนาดนี้แต่ดูแล้วเจอเรมี่ก็คงไม่ได้จะอะไรกับฉันนัก แต่ฉันนี่สิต้องมาทนมองเควินที่โดนต้ากับฝ้ายยึดเอาไว้ตลอดเวลาแบบนี้ ส่วนฉันก็ต้องกลายเป็นเพื่อนคุยของเจอเรมี่ไปโดยปริยาย ฉันกำลังพยายามเลิกคิดถึงเควินอยู่ก็จริง แต่การที่ต้องมาควงน้องชายเขาแล้วมองเขาอยู่กับสาวอื่นแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ
ตอนแรกดูเหมือนเควินจะหงุดหงิดที่ถูกบังคับให้มาด้วย แต่คงเพราะเขาไม่อยากให้พวกเราอึดอัด จึงพยายามทำตัวปกติ เจอเรมี่คงเป็นน้องเล็กที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยเลยทำแบบนี้ น่าสงสารเควินจัง…
หลังจากดูหนังพวกเราก็ไปทานพิซซ่า วันหยุดแบบนี้คนเยอะแทบทุกร้าน ที่เลือกร้านพิซซ่าเพราะเหลือที่นั่งด้านในว่างอยู่ ซึ่งค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ฉันได้ที่นั่งตรงข้ามเควินพอดี ส่วนเจอเรมี่ก็นั่งข้างพี่ชายเขา ไปๆ มาๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกละอายแก่ใจในสิ่งที่ตัวเองคิดเกี่ยวกับเควิน… พอเกิดความคลั่งไคล้ไม่ได้สติก็หลงคิดว่าตัวเองกำลังมีความรัก คิดว่านั่นคือการตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วล่าสุดก็ทำทีเหมือนคนอกหัก แล้วก็พยายามตัดใจ ทำเหมือนตัวเองเจ็บปวดแสนสาหัสกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย
เควินเป็นกันเองกับฉันด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่แรกเจอ เขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เขายิ้มและพูดคุยทักทายฉันอย่างสุภาพแบบเสมอต้นเสมอปลาย แต่ฉันดันเก็บเอาเขาไปคิดเพ้อเจ้อ แล้วก็ไปรู้สึกแบบนั้นกับเขาได้… หน้าไม่อายจริงๆ เควินน่าสงสารมากเลย
เอ๊ะ… แล้วทำไมฉันถึงเอาแต่คิดว่าเควินน่าสงสารอยู่ได้ ทั้งที่คนน่าเวทนาจริงๆ มันคือตัวฉันเอง ส่วนเควินน่ะเหรอ…เขายังมีชีวิตที่ดีมีความสุข สังเกตจากรอยยิ้มตอนนี้ดูก็ได้ หล่อเจิดจ้าจนตาแทบบอด เขาไม่ได้ต้องการความสงสารจากคนอย่างฉันเลย…
“ปูเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาเหมือนไม่ค่อยสบาย”
เสียงเจอเรมี่ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ รีบดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดพิสดาร เลื่อนสายตาจากแก้วน้ำอัดลมไปที่เจอเรมี่ “เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”
“ทำหน้าแบบนี้หรือว่าอยากไปห้องน้ำ” ต้ากระทุ้งสีข้างเบาๆ
“เปล่า” บังอาจมาหาว่าฉันทำหน้าเหมือนปวดอึ
“งั้นฉันไปห้องน้ำกับฝ้ายแป๊บนะ” ว่าแล้วต้ากับฝ้ายก็ลุกไปจากโต๊ะ
“ปูไม่ค่อยทานอะไรเลย ปกติไม่ค่อยพูดเจก็เข้าใจนะว่าเป็นคนคุยไม่เก่ง แต่ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว เรื่องกินสำคัญเหมือนกันนะ” เจอเรมี่เลื่อนถ้วยสลัดกับจานสปาเกตตี้ให้อย่างมีน้ำใจ
ฉันจำใจตักใส่ปากเพราะไม่อยากให้เจอเรมี่ต้องพูดซ้ำ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เจอเรมี่ก็ดังขึ้น เขาลุกขึ้นเดินไปนั่งคุยที่โต๊ะว่างอีกมุมหนึ่ง ปล่อยให้ฉันขวัญผวาอย่างรุนแรงที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเควิน ทั้งที่ลึกๆ ก็ดีใจมาก แต่ก็ทำตัวไม่ถูก… ฉันน่าจะสับสนในชีวิตอย่างที่ต้าเคยว่าจริงๆ