บทที่ 127
อารมณ์ของคนเราคือสิ่งที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่ง…ก็เหมือนกับโจ้วชวน วินาทีก่อนหน้านี้เขาคิดตกแล้ว และรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นไร แต่วินาทีต่อมากลับคิดไม่ตกเสียแล้ว และรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
บอกไม่ได้ว่าอารมณ์ไปถึงขอบเขตที่จวนเจียนจะขาดผึงตั้งแต่เมื่อไร
ถ้านึกย้อนกลับไปดีๆ ดูเหมือนว่าหนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้เขาสามารถบอกคนที่เป็นห่วงด้วยรอยยิ้มว่า ‘ผมไม่เป็นไร’ ได้ แต่วินาทีต่อจากนั้น เมื่อนึกถึงนักอ่านที่จากไป นึกถึงความรู้สึกตอนที่พวกเขาหันหลังจากไป นึกถึงท่าทางของพวกเขาที่พูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น จู่ๆ อารมณ์ด้านลบก็โถมเข้ามา…
ความรู้สึกที่สั่งสมมาหลายวันก็ระเบิดออกมา
จริงๆ แล้วนักอ่านที่ให้กำลังใจเขาบนเวยป๋อหรือไม่ก็ผ่านการส่งอีเมลให้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยก็มีไม่น้อยเหมือนกัน พวกเขาเชื่อเสมอว่าโจ้วชวนไม่ใช่นักเขียนอย่างที่คนข้างนอกพูดกัน…กำลังใจเหล่านี้สำคัญอย่างมาก ชั่ววินาทีนั้นโจ้วชวนรู้สึกว่าตนเองได้รับการช่วยชีวิตและมีแรงลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง…
แต่ยี่สิบข้อความที่ให้กำลังใจย่อมมีข้อความแดกดันถากถางปะปนอยู่หนึ่งข้อความ และนั่นก็ลบล้างกำลังใจที่ได้รับมาทั้งหมดได้เช่นกัน…
เขาไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยหรือไม่สนใจได้
“…”
ขณะนั้นเองโจ้วชวนมองชูหลี่ที่นั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างเท้าเขา คิดในใจว่าเธอเองก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกันสินะ ใช้ชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดในบ้านทุกวัน…ความจริงแล้วเขาควรกอดเธอ ลูบหลังเธอเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วปลอบเธอว่าไม่เป็นไร ร้องไห้ทำไม ทุกอย่างมันจะผ่านไป
แต่พอพยายามขยับนิ้วทั้งสิบแล้ว กลับพบว่าแม้แต่แรงงอนิ้วก็ยังไม่มี…เขาได้แต่ฝืนใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดกุมมือนุ่มๆ ข้างนั้นที่กำลังกำนิ้วชี้ของเขาไว้พลางเอ่ย
“ขอโทษ”
“คุณขอโทษอะไร!”
“…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ขอโทษที่ไม่มีบทพระเอกอย่างที่ควรมีในนิยาย และไม่มีที่พึ่งพิงให้คุณหลังจากฟ้าถล่มลงมา…
ผมเป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ…
ผมเขียนนิยายโรแมนติกไม่ได้
โจ้วชวนประคองชูหลี่ไปนั่งลงบนโซฟา เอ้อร์โก่วรู้ว่านายหญิงที่พามันไปเดินเล่นทุกวันร้องไห้และรู้สึกได้ถึงความเศร้าของเจ้านายที่ให้อาหารมันทุกวัน จึงส่งเสียงครางหงิงๆ หางไม่ยกขึ้น แต่ลู่ลงตรงหว่างขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็หันหลัง ก้มหน้าหูลู่กลับไปนอนขดตัวที่คอกของตัวเอง
ส่วนโจ้วชวนนั่งลงบนโซฟาเงียบๆ ปล่อยให้ชูหลี่ร้องไห้จนพอใจ…
ชายหนุ่มมองคนข้างกายที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและไม่ยอมปล่อยมือเขา คำพูดหุนหันพลันแล่นของเขาที่ว่า ‘ไม่เขียนแล้ว’ ทำให้เธอตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…
โจ้วชวนถอนหายใจ ใช้มือลูบศีรษะเธอ รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเป็นอย่างนี้…ทว่าเมื่อเดินออกจากห้อง เห็นเธอร้องไห้เพราะเรื่องของเขา…ชั่วพริบตานั้นอารมณ์ด้านลบก็พุ่งถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตระหนักได้ว่าตนเองไม่อยากให้เรื่องนี้ทำร้ายหรือถ่วงคนรอบข้างอีก ไม่อย่างนั้นเจียงอวี่เฉิงที่ถูกเรียกว่า ‘ทายาทแห่งวรรณกรรม’ หรือชูหลี่ก็จะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย
แต่ผลคือทำเรื่องให้แย่ลงกว่าเดิมเพราะความวู่วามของตนเอง พูดถ้อยคำที่ไม่ควรพูด ทำให้เธอร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม…
มีวิธีที่พอจะชดเชยได้หรือเปล่า
…ตอนนี้มองดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะมี
เมื่อครู่นี้เธอพูดถึงเรื่องต้นฉบับพวกนั้น ตอนนี้โจ้วชวนเองก็ลังเลอยู่บ้างเหมือนกัน ในหัวมีเสียงกำลังพูดว่ารับปากเธอสิ เอาต้นฉบับนั่นให้เธอซะ นายต้องคิดว่าเธอไม่ใช่แฟนของนาย ต้องสลัดเรื่องของความรู้สึกทิ้งไป และควรยอมรับความสามารถในฐานะ บ.ก. ของเธอ
บ.ก. เหรอ
บ.ก. ส่วนตัวเหรอ
ไม่ใช่ยาพิษสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องต่อต้านขนาดนี้…
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าหลังจากสั่วเหิงตกต่ำ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยบ่นว่าเหล่าเหมียวว่าเขาทำตรงไหนไม่ถูกหรือทำตรงไหนไม่ดี…เพราะคนที่ใกล้จะตาย ถ้ายังกลัวยาพิษ มันออกจะตลกเกินไป
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
วันนี้โจ้วชวนเดินออกจากห้องของตัวเอง เดินเข้าไปในห้องหนังสือ จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในนั้นทั้งคืน