เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ชูหลี่ลุกขึ้นจากโซฟาทั้งที่ตาบวมเหมือนลูกท้อ เธอดูเวลา ปรากฏว่าใกล้จะถึงเวลาเข้างานแล้ว…ในห้องรับแขกว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ประตูห้องของโจ้วชวนเปิดทิ้งไว้ ข้างในไม่มีคนอยู่
หญิงสาวเดินมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ ค่อยๆ เปิดประตู มองแวบเดียวก็เห็นชายหนุ่มฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสือหลับสนิท…ข้างมือเขามีต้นฉบับปึกใหญ่วางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ตามลำดับอย่างสุดความสามารถ ลายมือและเนื้อกระดาษสีออกเหลืองบ่งบอกถึงระยะเวลาที่ของสิ่งนี้ดำรงอยู่ บางแผ่นเขียนไปเขียนมามีสูตรเคมีหรือไม่ก็ทดเลขคณิตศาสตร์โผล่มาด้วย…ขณะที่เรียนหนังสืออยู่ คนคนนี้คงฉวยเอามาใช้กะทันหันตอนที่ไม่มีกระดาษเขียนต้นฉบับอยู่ใกล้มือ…
จากนั้นก็เว้นไว้สองสามบรรทัด แล้วเขียนเนื้อหาต่อจากก่อนหน้านี้ที่ยังเขียนไม่จบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…ตอนนั้น ‘การสร้างสรรค์ผลงาน’ สำหรับโจ้วชวนแล้วคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายและบริสุทธิ์มากสินะ
หญิงสาววางกระดาษลง ขณะกำลังจะหมุนตัวกลับไปหยิบผ้าห่มที่ห้องรับแขกมาห่มให้เขาก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง…ชูหลี่หันไปมองชายหนุ่มด้านหลังที่ลุกขึ้นมาจากโต๊ะช้าๆ ส่งยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ฉันทำคุณตื่นหรือเปล่าคะ”
โจ้วชวนคลึงหัวคิ้ว “เปล่า”
เงียบไปสักพัก จากนั้นทั้งสองต่างก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกัน…
หลังจากตะลึงงันไปเล็กน้อยก็สบตาและยิ้มให้กัน โจ้วชวนเอ่ยเสียงราบเรียบ “คุณพูดก่อนสิ”
“โจ้วชวน ฉันรอคอยว่าสักวันหนึ่งคุณจะมอบต้นฉบับปึกนั้นให้ฉัน แต่ฉันหวังว่าตอนนั้นในสายตาคุณ คนที่รับต้นฉบับจะไม่ใช่แฟนของคุณ แต่เป็น บ.ก. ของคุณ…” ชูหลี่ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเนิบช้า “ฉันไม่อยากใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเราบีบบังคับให้คุณทำเรื่องใดๆ ก็ตามที่คุณไม่อยากทำ แต่ตอนนี้การนำต้นฉบับผลงานเรื่องแรกของคุณมาประกาศต่อสาธารณะคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ฉันคิดดูแล้ว คุณเองก็มีความกังวลของคุณเหมือนกัน…” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ถ้าคุณคิดดีแล้วค่อยมอบมันให้ฉัน ในฐานะ บ.ก. ฉันสาบานว่าจะทำมันอย่างสุดความสามารถ เหมือนกับที่ฉันทุ่มเททำหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมือฉัน ฉันจะดูแลมันอย่างดี จะใช้มันเป็นสื่อกลางที่ดีที่สุด จะทำให้นักเขียนและนักอ่านได้ทำความเข้าใจกัน”
“…”
ชายหนุ่มที่อยู่หลังโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมเองก็กำลังคิดจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” โจ้วชวนหลุบตา วางมือลงบนต้นฉบับที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ผมอยากให้คุณให้เวลาผมหน่อย ให้ผมได้คิดอีกสักพัก”
ชูหลี่พยักหน้า “งั้นฉันไปทำงานแล้วนะคะ”
“ไปเถอะ”
ชูหลี่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จากนั้นก็หยุดลงอีกครั้ง แล้วหันหน้าไปมองโจ้วชวน…เมื่อสบตากับชายหนุ่ม เธอยันกรอบประตูไว้ ปลายนิ้วจิกกับกรอบประตูจนทิ้งรอยเล็บเล็กๆ ไว้รอยหนึ่ง เอ่ยถามอย่างลังเล
“…งั้นวันนี้ยังจะอัพเดตไหมคะ”
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความระมัดระวังและหวาดกลัว เหมือนกับบีบบังคับให้ตัวเองเงยหน้าเผชิญกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฝันร้าย เธอกลืนน้ำลายลงไปดังเอื๊อก สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือถ้าโจ้วชวนพูดอะไรที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังอย่างเมื่อวานนี้อีกครั้ง ฉันจะ…จะ…เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทำอะไร
…‘การเขียน’ สร้าง ‘โจ้วชวน’
…เป็นส่วนหนึ่งที่เขาขาดไม่ได้
…เมื่อเห็นปลายนิ้วของเขาโลดแล่นบนแป้นพิมพ์ เคาะเรื่องราวสนุกๆ ออกมาทีละเรื่อง ใบหน้าด้านข้างที่กำลังจดจ่อคือภาพที่ชูหลี่คุ้นเคยมาตั้งแต่แรกแล้ว…
…เธอจะสูญเสียไปไม่ได้
…เขาเองก็สูญเสียไปไม่ได้เช่นกัน
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของชูหลี่ เธอจ้องชายหนุ่มโดยที่ตาไม่กะพริบ กระทั่งใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ผงกศีรษะพลางส่งเสียง “อืม” เธอก็ปล่อยมือจากกรอบประตู วิ่งเหยาะๆ ราวกับสายลมพัดไปยังเบื้องหน้าเขาและประทับจูบลงบนริมฝีปากเขา…
โจ้วชวน คำพูดที่ว่า ‘งั้นไม่เขียนแล้วดีกว่ามั้ง’ ก็ถือซะว่าเป็นความลับระหว่างเราสองคนก็พอ ฉันจะช่วยคุณยัดมันกลับลงไปในกล่องแพนโดร่าเอง…คุณรับปากฉันสิว่าอย่า…อย่าเปิดมันออกมาอีกเลย