บทที่ 129
โจ้วชวนอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ แวบเดียวก็เห็นผู้หญิงของเขากำลังกอดต้นฉบับของเขาเอาไว้ เธอนั่งอยู่บนเตียง ตั้งใจอ่านทีละแผ่น…หน้าต่างในห้องปิดหมดแล้ว กลิ่นบุหรี่ก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้ว กลิ่นเปลือกส้มที่พ่นออกมาจากเครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยยึดครองโพรงจมูก แสงแดดสาดส่องเข้ามากระทบใบหน้าด้านข้างของเธอ
ที่แท้จิตใจที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้ ความง่วงงุนอยากจะนอนหลับพลันตีตื้นขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองสามารถนอนหลับสนิทได้อย่างสบายใจ ไม่กังวลอีกต่อไปว่าฝันร้ายจะทำให้ตกใจตื่นเมื่อไร
…ราวกับนกตื่นธนู* หวนคืนสู่ป่า ร่อนลงบนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าที่แตกกิ่งก้านใบไม้เขียวชอุ่ม ริมหูมีเพียงเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น
“ตอนที่ฉันเห็นต้นฉบับพวกนั้น ลูกรักของคุณกำลังใช้แผ่นหนึ่งเช็ดปาก” ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของโจ้วชวน คนที่นั่งอยู่บนเตียงพูดโดยไม่เงยหน้า
โจ้วชวนเดินไปที่ข้างเตียง ชะโงกศีรษะอ่านต้นฉบับที่วางอยู่บนตักของชูหลี่…เธอยื่นมือผลักศีรษะเปียกชุ่มของเขาออกไป
“ออกไปเลย อย่าให้น้ำหยดลงบนต้นฉบับ นานหลายปีขนาดนี้แล้ว กระดาษพวกนี้น่ะบอบบางเหมือนขนมปังกรอบแผ่นบางๆ…หมึกบางส่วนจางไปหมดแล้ว”
“…”
อันที่จริงปีนั้นต้นฉบับเหล่านี้ถูกโจ้วชวนทำลายทิ้งไปแล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้นต้นฉบับจึงไม่สมบูรณ์และไม่ปะติดปะต่อ
แต่เธอก็อ่านอย่างสนอกสนใจและรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง
มุมปากเขาโค้งขึ้น โจ้วชวนเอาผ้าขนหนูพันศีรษะอย่างง่ายดายเหมือนกับคุณยายหมาป่า ปีนขึ้นเตียง ถูไถอยู่ข้างกายชูหลี่…ปลอกผ้าห่มและผ้าปูที่นอนที่เปลี่ยนใหม่มีกลิ่นลูกเหม็นจางๆ โจ้วชวนหยิบเอากระดาษที่วางอยู่ด้านบนสุดของต้นฉบับปึกนั้นขึ้นมา
“อ่านถึงไหนแล้ว”
“พระเอกเจอนางเอกแล้วก็หันหน้าเดินหนี นางเอกตามไปถามตาปริบๆ ว่าทำไมคุณเจอฉันแล้วต้องเดินหนีด้วย” ชูหลี่โบกต้นฉบับในมือ “พระเอกบอกว่ากลัวทำให้คุณตกใจ…ให้ตายเถอะ พระเอกที่อ่อนโยนขนาดนี้ไม่เหมือนกับคุณเลยสักนิด อย่างคุณเนี่ยนะสร้างพระเอกที่นิสัยละเอียดอ่อนขนาดนี้ออกมาได้ ถ้าผลงานเรื่องนี้ของคุณเผยแพร่ออกไปจริงๆ คงมีคนบอกว่าคุณไม่ได้เป็นคนเขียนอีกแน่”
“…ทำไมผมจะไม่ใช่คนเขียน ผมจำได้แม่นเลยว่าบทแรกเขียนตอนที่เข้าเรียนวิชาภาษา ตอนนั้นกำลังเรียน ‘ฎีกาออกศึก’ อยู่ล่ะ” โจ้วชวนจิ๊ปากสองที “ตอนที่พระเอกหมุนตัวจะวิ่งหนี นางเอกลุกขึ้นถือกล่องข้าววิ่งตามไป มีจุดที่ไม่ต่อเนื่องนิดหน่อย อ่านเจอหรือเปล่า”
ชูหลี่กวาดตามอง “เจอแล้ว”
โจ้วชวนสีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนนั้นถูกผีอายุสั้นอย่างครูสอนภาษานั่นเรียกให้ลุกขึ้นอ่านบทเรียน แถมยังให้แปลความหมายคร่าวๆ บทหนึ่งในนั้น”
ชูหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงกับเห็นภาพขึ้นมาเป็นฉากๆ จึงหัวเราะคิกคักขึ้นมา เหมือนกับว่าตอนนั้นเธอนั่งอยู่ข้างๆ โจ้วชวน ในห้องเรียนเงียบมากเพราะทุกคนต่างจ้องมองเขา ส่วนเธอก็กอดหนังสือภาษาเล่มหนึ่งแล้วเงยหน้ามองเขาได้อย่างเปิดเผยเช่นกัน ดูเขาลุกขึ้นอ่านบทเรียนด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ จากนั้นก็ค่อยๆ แปลงานเขียนสมัยโบราณทีละประโยคช้าๆ…
ชูหลี่หรี่ตาเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกถึงคอมเมนต์ของเพื่อนสมัยมัธยมปลายเหล่านั้นของโจ้วชวนในเวยป๋อเมื่อเช้านี้ ในกลุ่มผู้หญิงจำนวนไม่น้อยนั้นมีสองคนที่แต่งงานมีลูกแล้ว ตอนที่พูดถึงเขา แต่ละตัวอักษรแต่ละบรรทัดล้วนเต็มไปด้วยความเลื่อมใส…
“ถ้าฉันรู้ว่าแฟนในอนาคตของฉันจะโด่งดังไปทั่วโรงเรียนตั้งแต่ ม.ปลาย ฉันต้องพยายามเกิดให้เร็วกว่านี้หลายปีแน่”
“อ้อ” โจ้วชวนเหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง “คุณดูท่าทางดี๊ด๊าของตัวเองสิ สมัย ม.ปลาย จะต้องเป็นยายทึ่มแน่ๆ สมัยผมหนุ่มๆ น่ะนะ รำคาญคนขี้โวยวายที่สุดเลย จะต้องหลบคุณเหมือนหลบแมลงสาบแน่นอน”
ชูหลี่ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วสูง เหวี่ยงหมัดคิดจะต่อยเขา…