Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์
ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ เล่ม 1 บทที่ 5 – 6
บ้านที่โจ้วชวนซื้อตั้งอยู่ในเขตพื้นที่หรูใจกลางเมือง G แค่มองก็รู้แล้วว่าราคาต้องแพงหูฉี่ โดยแขกผู้มาเยือนจะต้องบันทึกข้อมูลลงในสมุดเข้าเยี่ยม ชูหลี่เห็นว่าบ้านเลขที่ตรงกันกับที่อยู่ที่เหล่าเหมียวให้ไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นบ้านเดี่ยวสไตล์ตะวันตกที่มีสนามหญ้าอยู่หน้าบ้าน เธอยืนอยู่หน้าประตูรั้วและนิ่งเงียบไป ในหัวนึกถึงห้องขนาดเล็กเพียงสี่สิบตารางเมตรของตนเองที่ดูราวกับบ้านหมาห้องนั้น แถมยังต้องนั่งรถไปทำงานอีกตั้งชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองต้องดิ้นรนอีกกี่ชาติจึงจะซื้อบ้านแบบนี้ได้…
นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ มีทั้งเงิน ทั้งเวลา ชีวิตดี๊ดี ทุกอย่างในชีวิตช่างสมบูรณ์แบบเสียจริง
ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้คุยกับนักเขียนขั้นเทพ นอกจากประโยคที่ว่า ‘ท่านเทพคะ ฉันชอบงานเขียนของคุณมากเลยค่ะ’ จะพูดอะไรดีล่ะ ‘อาจารย์คะ ฉันรักงานเขียนของคุณมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะแค่เล่นละครตบตาก็ตาม’ แบบนี้เหรอ
ขณะนี้มีทั้งความหดหู่และตื่นเต้น เธอกดกริ่งด้วยท่าทีนอบน้อม
เสียงกริ่งที่ประตูดังอยู่นาน
ชูหลี่กดกริ่งที่ประตูไปพร้อมๆ กับพยายามยืนเขย่งเท้าเพื่อที่จะมองผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปข้างใน เธอยืนรออย่างกระสับกระส่าย จนกระทั่งมีสุนัขพันธุ์อลาสกัน มาลามิวต์* ตัวหนึ่ง…มันยืนขึ้นเพื่อเปิดประตูที่เปิดค้างไว้ครึ่งบานให้เธอ เมื่อยื่นมือออกไปลูบหัว มันก็แกว่งหางอย่างว่องไว ราวกับว่าหางของมันจะหลุดออกจากตัว
ชูหลี่กระซิบกับเจ้าสุนัขว่า “เด็กดี พ่อแกล่ะ เรียกพ่อแกมาเปิดประตูเร็ว!”
เจ้าสุนัขพันธุ์อลาสกันเห่าขึ้นมา “โฮ่ง…โฮ่ง…”
จากนั้นชูหลี่ก็ได้ยินเสียงของผู้ชายที่ทุ้มต่ำปนแหบแห้งราวกับเพิ่งตื่นนอนผ่านอินเตอร์คอมในระยะใกล้
“มันชื่อเอ้อร์โก่ว ไม่ได้ชื่อเด็กดี และผมก็เป็นพี่ชาย ไม่ใช่พ่อของมัน ส่วนคุณที่อยู่ด้านนอกคือใครกัน”
ชูหลี่ “…”
อะไรกัน
เธออึ้งไปชั่วขณะ เพิ่งรู้ตัวว่าตรงประตูมีกริ่งอยู่ แต่ไม่รู้ว่าระบบการโทรถูกเชื่อมต่อตอนไหน…เสียงแหบพร่าของผู้ชายในยามเช้าทำเธอหน้าแดง…ไม่แปลกใจเลยที่มีคนบอกว่าแค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกว่าโจ้วชวนนั้นหล่อแบบวัวตายควายล้มกันเลยทีเดียว…
เป็นโจ้วชวน
อาจารย์โจ้วชวน
คนที่กำลังพูดอยู่ในบ้านตอนนี้คืออาจารย์โจ้วชวน!
ชูหลี่ยากที่จะระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ได้ จึงตบหัวเจ้าสุนัขตัวโตเบาๆ และเรียกชื่อมันว่า ‘เอ้อร์โก่ว’ จากนั้นก็กระแอมอยู่ในลำคอแล้วแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“อาจารย์โจ้วชวนใช่ไหมคะ สวัสดีค่ะ ฉันชูหลี่ เป็น บ.ก. คนใหม่จากนิตยสารแสงแห่งจันทราของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย วันนี้นำสัญญาการตีพิมพ์ครั้งแรกของ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ มาเสนอเซ็นค่ะ…”
เสียงตรงกริ่งหน้าประตูเงียบลง
เวลาผ่านไปนานจนทำให้เธอสงสัยว่าเขาคงไม่ได้พิงประตูแล้วหลับไปใช่ไหม ขณะนั้นเองน้ำเสียงอันราบเรียบของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา…
“เปิดสัญญาไปหน้าที่หนึ่ง”
“ค่ะ”
“เปิดหรือยัง”
“เปิดแล้วค่ะ”
“จำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรก อ่าน”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก เนื่องจากเพิ่งตื่นนอน
“อาจารย์เป็นหวัดเหรอคะ”
“อ่าน”
“สี่หมื่นห้า”
“…”
“…”
“เอ้อร์โก่ว ส่งแขก”
“โฮ่ง!”
“…”
เธอยืนอึ้งที่หน้าประตูบ้านอยู่หลายวินาที จากนั้นก็เพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง โธ่เอ๊ย…ไม่มีโอกาสให้เขาเอาสัญญามาฟาดหน้าเลย แถมยังโดนปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ได้พบหน้าเลยด้วยซ้ำ…
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!
อาจารย์คะ รีบออกมาแล้วเอาสัญญามาฟาดหน้าฉันก็ยังดีค่ะ!!!
เธอแก้ไขสถานการณ์ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ต่อให้ตายก็ไม่กลัวอะไรแล้ว ชูหลี่ไม่ละความพยายามในการกดกริ่งประตูบ้านของโจ้วชวน เธอกดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนเจ้าเอ้อร์โก่วก็กระโดดขึ้นลงไปมา อยากให้ชูหลี่เข้ามาเกาหูให้อย่างกระวนกระวายใจ…ดังนั้นคนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวก็ทำลายความสงบของเช้านี้ไปจนหมดสิ้น ขณะกดกริ่งครั้งที่สิบ เจ้าเอ้อร์โก่วก็เขย่าประตูรั้วเหล็กเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด…จนเพื่อนบ้านและคนอื่นๆ กำลังจะโทรแจ้งตำรวจอยู่นั้น…
ในที่สุดประตูบ้านสไตล์ตะวันตกบานเล็กที่ปิดสนิทนั้นก็เปิดออก! แกร๊ก…
ชูหลี่กำลังจะเอื้อมมือไปกดกริ่งเป็นครั้งที่สิบเอ็ด เธอเบิกตามองชายร่างสูงผู้หนึ่งในชุดนอนลายชินจังที่กำลังก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงบวกกับมีรอยคล้ำใต้ตา ปลายจมูกที่แดงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นหวัด และสวมรองเท้าแตะ ถึงแม้สภาพจะดูย่ำแย่แถมยังมีใบหน้าซีดเซียว แต่ทว่าไม่อาจบดบังความหล่อของเขาได้เลย…
ในเวลานี้เองชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปยังประตูรั้วเหล็กอีกด้านด้วยสีหน้าอาฆาต “เมื่อคืนนี้ผมเขียนงานยันตีสี่! สิบโมงครึ่งวันนี้ก็ถูกปลุกเสียงดังหนวกหู! แต่ในเมื่อตื่นแล้วก็ช่างมัน ไม่เป็นไร แต่นี่ผมยังต้องมาเจอกับความอัปยศอดสูเรื่องการตีพิมพ์ต้นฉบับครั้งแรกที่สี่หมื่นห้า! สี่หมื่นห้า! บิดาไปทำเวรกรรมอะไรไว้! สี่หมื่นห้า! เพิ่มให้อย่างจริงใจมาตั้งหมื่นสามพันเล่มจากครั้งที่แล้วที่ให้พิมพ์แค่สามหมื่นสองพันเล่ม! สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยของพวกคุณเห็นผมเป็นขอทา…”
โจ้วชวนไม่สามารถพูดต่อจนจบได้ เปลือกตาของเขายกสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่แสนเยือกเย็นคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ตรงประตูรั้วเหล็กอีกฝั่ง สีหน้าของเธอคนนั้นเปลี่ยนไปราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
เขาย่นจมูกเผยให้เห็นอารมณ์ที่ถูกยั่วยุและความหยิ่งยโส ทำให้ชูหลี่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเวลานี้เสียงของเขาขึ้นจมูกเนื่องจากอาการหวัดและเพิ่งตื่นนอน ทำให้ความน่าเกรงขามลดลงเล็กน้อย
“ว่าไง”
คนที่อยู่หลังประตูรั้วเหล็กก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าว…สีหน้าของเธอยังคงอึ้งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ รวมถึงทัศนคติทั้งสามด้านของเธอก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นกัน…
นี่มันนายสุนัขจิ้งจอก
นายสุนัขจิ้งจอกคือโจ้วชวน
นายสุนัขจิ้งจอกก็คือโจ้วชวน
ตาลุงสุนัขจิ้งจอกที่ใส่ชุดนอนลายชินจังนี่…คือองค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก!
Excuse me!!!!
ชูหลี่คิดอย่างสงบนิ่ง องค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยกดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ นอกจากจะเป็นนักแสดงแล้ว เขายังเป็นสุนัขจิ้งจอกด้วย ฉันจะเล่าเรื่องตลกให้คุณฟัง ฉันเคยฝันฤดูใบไม้ผลิ ถึงคุณ ในฝันนั้นมีคุณและฉันเป็นตัวเอก
ท่ามกลางความสับสน เป็นเวลาสิบกว่าวินาทีถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าจริงๆ แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ดังนั้นเธอจึงจำใจกลับไปเกาะอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กแต่โดยดี พร้อมกับแสดงสีหน้าที่จริงใจให้กับคนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง แม้เขากำลังโมโหจนถึงขีดสุดจากการที่ต้องตื่นนอน
“ไม่ใช่ค่ะ อาจารย์ คุณฟังฉันพูดก่อน…”
โจ้วชวนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีรังเกียจ “ผมไม่ฟัง”
“ดะ…ดะ…เดี๋ยวก่อนค่ะ!” ชูหลี่จับประตูรั้วเอาไว้ “คุณจะให้สุภาพสตรียืนรออยู่แบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ไม่มีสุภาพสตรีคนไหนที่สร้างความอัปยศให้ผมด้วยตัวเลขเพียงสี่หมื่นห้าพัน”
“…”
ราชสีห์ผู้บ้าคลั่ง สุนัขจิ้งจอกผู้หยิ่งยโส จากนัตสึฮิโกะ เคียวโกกุ ไปจนถึงเรื่อง ‘หลงหยางสิบแปดกระบวนท่า’
ชูหลี่ค้นพบแล้วว่าตนเองคิดผิดมหันต์…ไม่ใช่นักเขียนมือเทพทุกคนในวงการนี้ที่เป็นคนบ้าจอมหลอกลวง คนบ้าก็มีแต่โจ้วชวนเท่านั้นแหละ!