บทที่ 58
หากอ้างอิงตามมาตรฐานการให้คะแนนจากบัญชีเวยป๋อ ‘นักวิจารณ์อเมริกาเหนือ’ ที่ว่า ‘ให้จูอิน* กับหวังจู่เสียน** เจ็ดคะแนน ให้หลิวอี้เฟยแปดคะแนน ส่วนเก้าคะแนนต้องตกเป็นของนางฟ้าวิคตอเรียส์ซีเคร็ต*** ที่กางปีกเปิดแคตวอล์กอย่างแน่นอน’ แต่สำหรับหญิงสาวที่ไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป แต่งตัวเรียบร้อย และมีทรงผมที่แสนจะธรรมดาเช่นชูหลี่ อย่างมากก็คงได้ประมาณสี่ถึงห้าคะแนน ถือว่าเป็นระดับที่ถ้าพลัดหลงเข้าไปในกลุ่มคนที่เดินไปมาบนถนนจะไม่มีใครสังเกตเห็นเธอจนต้องถ่างตาหา…
เธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมายี่สิบกว่าปี ในที่สุดวันนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจเป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะพานักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ (ที่เอาแต่แย่งซีนกัน) ทั้งสองคนมาปรากฏตัว
…ทว่าใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ…
Excuse me?
เธอเนี่ยนะ มีสิทธิ์อะไรกัน
น่าโมโหชะมัด เดี๋ยวนี้พวกผู้ชายตาบอดกันไปหมดแล้วเหรอเนี่ย
ต้องเป็นบรรดาพี่ชายของเธอแน่นอน คนหนึ่งพี่ชายฝ่ายพ่อ อีกคนหนึ่งพี่ชายฝ่ายแม่
ดูสีหน้าได้ใจของยายคนนี้สิ ได้ใจอะไรกัน เธอแค่มีพี่ชาย แถมยังควงทีเดียวตั้งสองคนเอง
ฉันยอมเชื่อว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นคู่ขากันดีกว่า
ตอนที่ชูหลี่หยิบบัตรกำนัลสองใบและเงินสิบแปดหยวนขึ้นมาให้พนักงานเพื่อแลกตั๋วหนัง คนรอบข้างต่างพากันมอง…เมื่อเธอได้ตั๋วมาสามใบ หลังมองเลขที่นั่งบนตั๋วแล้ว หญิงสาวก็หยิบตั๋วใบตรงกลางยัดใส่กระเป๋าเสื้อ พร้อมส่งอีกสองใบที่เหลือให้ท่านเทพทั้งสองที่ยืนเป็นทวารบาลเฝ้าประตูอยู่ด้านหลัง…
ตอนนี้ฝูงชนจึงยอมรับชุดความคิดที่ว่า ‘สามคนนี้มาด้วยกัน’ ก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจแล้วพากันแยกย้าย
ขณะนี้ยังเหลือเวลายี่สิบกว่านาทีก่อนหนังเริ่มฉาย ชูหลี่ถือตั๋วหนังและมองหาที่นั่ง แต่เมื่อก้นเพิ่งแตะเก้าอี้ อยู่ๆ ตรงหน้าก็มืดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจียงอวี่เฉิงยืนโน้มตัวอยู่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“กินขนมไหม หรือจะเป็นเครื่องดื่ม หรือจะเอาไอศกรีมดี”
ชูหลี่รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้วค่ะอาจารย์”
โจ้วชวนที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพิ่งกินข้าวเสร็จจะกินขนมอะไรอีก กระเพาะรั่วหรือไง พิซซ่าถาดใหญ่ขนาดนั้น อิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว…”
“ก็เพราะนายกินเยอะไปน่ะสิ”
เจียงอวี่เฉิงยืดตัวขึ้น เดินเบียดไหล่ของโจ้วชวนไป เขาเข้าไปที่เคาน์เตอร์ขายขนม เลือกป็อปคอร์น ช็อกโกแลต และน้ำแร่ด้วยตัวเอง ก่อนจะถือกลับมายัดไว้ในอ้อมอกของชูหลี่…หญิงสาวรีบรับไว้และกล่าวขอบคุณ ตอนนี้เองก็มีมือใหญ่ยื่นมาหยิบมาร์ชเมโลจากเธอไปหนึ่งห่อ
“…มีแต่ขนมหวานๆ นายเห็นเธอเป็นเด็กสามขวบหรือไง”
“นายช่วยหุบปากได้ไหม คนที่ออกมาข้างนอกแล้วไม่พกกระเป๋าสตางค์นี่ทำไมพูดมากจัง ไม่มีเด็กสาวคนไหนไม่ชอบกินขนมหวานหรอกน่า”
เจียงอวี่เฉิงมองดูโจ้วชวนแกะห่อมาร์ชเมโลด้วยสายตาเย็นชา เขาหยิบมาร์ชเมโลออกมาบี้แล้วบี้อีก ขยำจนไส้แทบทะลักออกมา แล้วยื่นเจ้าขนมหวานรูปร่างเหมือนก้อนอึใส่ปากก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ฉันไม่กินขนมหวาน”
เจียงอวี่เฉิงมองบนพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออก
โจ้วชวนเคี้ยวพร้อมกับบ่นไปด้วย “ฉันไม่กินขนมหวาน เธอก็ไม่กินขนมหวาน นายซื้อของพวกนี้มาก็เปลืองเงินเปล่า…”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาเห็นเจียงอวี่เฉิงใช้สายตาเย้ยหยันมองมา โจ้วชวนหยุดพูดแล้วหันหน้าไปมองโดยสัญชาตญาณก็เห็นหญิงสาวแกะกระดาษห่อและคาบช็อกโกแลตชิ้นใหญ่ไว้พลางจ้องมองเขาด้วยความงุนงง
โจ้วชวน “…”
ชายหนุ่มหงุดหงิดที่ชูหลี่ไม่ได้ดังใจจึงต่อว่าเธอ “เพิ่งกินข้าวมายังจะกินช็อกโกแลตอีก! คุณเป็นปลาทองเหรอ ทำไมไม่รู้จักอิ่มซะบ้าง”
ชูหลี่ทำหน้าจ๋อย เมื่อถูกสายตาต่อว่าราวกับเธอ ‘ร่วมมือกับศัตรูก่อกบฏ’ ของโจ้วชวนจ้องมองเข้าก็ชักจะรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาหน่อยๆ
“ฉันกินชิ้นเล็กๆ เองนะคะ…”
“ตัวคุณหนักมากพอแล้วนะ”
หนักจนอุ้มไม่ไหว โศกนาฏกรรมที่ผมทำได้เพียงมองดูคุณนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะในห้องหนังสือทั้งคืน คุณลืมแล้วเหรอ
เมื่อเห็นสีหน้าของชูหลี่เปลี่ยนไป เจียงอวี่เฉิงก็ดึงเสื้อโจ้วชวนออกไปได้ทันเวลา “ทำตัวแบบนี้ก็สมแล้วล่ะที่นายโสดตั้งแต่เกิด จะโทษใครได้ หน้าตานายนี่เสียของชะมัด อ้าปากพูดออกมาแต่ละคำแทบจะไม่ใช่คำพูดดีๆ ถ้าเจ้าเอ้อร์โก่วเป็นตัวเมีย มันคงหนีออกจากบ้านไปแล้ว…”
ระหว่างที่รออยู่เป็นเวลาสิบกว่านาที โจ้วชวนใช้สายตาราวกับกล่าวหาชูหลี่ว่า ‘ยายคนทรยศ’ จ้องมองมา แรกๆ เธอก็กลัวอยู่หรอก แต่พอชินแล้วเธอก็กินช็อกโกแลตอย่างสงบภายใต้สายตาแบบนี้ จากนั้นก็ยืนขึ้น กอดป็อปคอร์นถังใหญ่แล้วเอ่ยปาก
“เข้าไปกันได้แล้วล่ะค่ะ”
โจ้วชวนยืดขาอันเรียวยาวแล้วยืนขึ้น “อีกสักพักถ้าผมหลับไปอย่าลืมเรียกผมนะ กลัวว่าจะหลับสบายจนหยุดหายใจน่ะ”
“งั้นนายมาทำไมกัน”
ชูหลี่ต้องเดินเข้าไปแทรกกลางคนทั้งคู่ เพื่อแยกชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ด้วยกันทีไรเป็นต้องปะทะคารมกันได้ไม่หยุดหย่อนออกจากกัน