“เธอเริ่มก่อน”
ชูหลี่ไร้ข้อแก้ตัว
หนังดำเนินเรื่องไปถึงตอนที่เพอร์กินส์ได้ร่วมงานกับนักเขียนยอดนิยมคนหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลหลายประการอยู่ๆ เขาก็หยุดเขียน หนึ่งในนั้นเป็นเพราะงานที่เขียนออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ทั้งยังเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง…โจ้วชวนเปลี่ยนท่านั่ง ยิ้มอ่อนที่มุมปาก
“คุ้นๆ อยู่นะ”
เจียงอวี่เฉิงมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
ต่อมาโทมัสที่กำลังโด่งดังได้พบกับนักเขียนที่กำลังตกอับคนนี้ และด้วยความเมาโทมัสจึงเยาะเย้ยเขาอย่างจองหองพองขน พฤติกรรมที่เลวร้ายของโทมัสทำให้ บ.ก. เพอร์กินส์ไม่พอใจอย่างยิ่ง ทั้งสองทะเลาะกันใหญ่โตในค่ำคืนอันแสนมืดมิด…ราวกับว่าจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
“โจ้วชวน ทำไมนายถึงเข้าไปอยู่ในหนังล่ะ!”
“…”
ในตอนท้ายเรื่องโทมัสและเพอร์กินส์ทำสงครามเย็นใส่กัน นิยายเล่มใหม่ของโทมัสเกือบจะเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์อื่นแล้ว แต่โทมัสกลับถือต้นฉบับนิยายมายืนอยู่ตรงหน้าเพอร์กินส์และมอบนิยายเล่มนี้ให้เขา ทั้งยังจะเขียนขอบคุณเขาในฐานะ บ.ก. ที่หน้าชื่อเรื่อง แต่เพอร์กินส์กลับปฏิเสธ
โจ้วชวนเอาแต่ถามคำถามนี้ตลอดเวลาที่ดูหนัง “ปฏิเสธทำไม กลัวดังแล้วมีปัญหาเหรอ”
“ตอนที่หนังสือเล่มนี้ขายดี งานของ บ.ก. ถือว่าจบลงแล้ว…ตั้งแต่คัดเลือกต้นฉบับ แก้ไขต้นฉบับให้สมบูรณ์ พิสูจน์อักษร ตีพิมพ์ โปรโมต วางจำหน่าย…กระบวนการทั้งหมดของการทำหนังสือเล่มหนึ่ง บ.ก. จะยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนเป็นเงา…” ชูหลี่คิดแล้วพูดต่อไป “นักเขียนคือจิตวิญญาณของหนังสือ แต่ บ.ก. เป็นเพียงเงาเท่านั้น การที่เพอร์กินส์ปฏิเสธ เพราะหนังสือมีได้เพียงแค่จิตวิญญาณเดียวไงล่ะคะ”
โจ้วชวนยืดตัวตรง จ้องมองชูหลี่อย่างเงียบงัน
“ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยถึงต้องการให้นักเขียนและ บ.ก. มาดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน…อาจารย์คะ ก็เหมือนกับที่คุณพูดเมื่อวันนั้น ในยุคที่ข่าวสารรวดเร็วแบบนี้ ทำให้เราติดต่อกันได้โดยแทบไม่ต้องมาพบหน้ากัน สำหรับนักเขียน บ.ก. ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว…” ชูหลี่พูดต่อไป “บ.ก. สมัยก่อนคงเหมือนกับเพอร์กินส์ที่จำเป็นต้องมีสายตาอันเฉียบแหลม รักสำนักพิมพ์ รู้จักหาข้อมูล และทำหนังสือออกมาให้ดีที่สุดเพื่อให้ปรากฏต่อสายตาของผู้อ่าน เหมือนกับ บ.ก. ที่ไม่มีชื่อเสียงกำลังบอกผู้คนนับหมื่นนับพันที่กำลังเดินผ่านและไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้หรือนักเขียนคนนี้ว่า ‘ฉันมีหนังสือเล่มหนึ่ง น่าอ่านมากเลย เชิญคุณลองอ่านดูนะ’ ”
…ขณะที่พูดเรื่องพวกนี้ ชูหลี่หวนนึกถึงเรื่องราวมากมาย
นึกถึงสั่วเหิงผู้ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางอุปสรรค
นึกถึงเจียงอวี่เฉิงผู้ถูกคนด่าลับหลังและหัวเราะเยาะว่า ‘ล้าหลัง’ แต่ต่อหน้ายังปากหวานก้นเปรี้ยวประจบสอพลอเขา
นึกถึงอวี๋เหยาผู้ที่จิตใจเคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับความเป็นจริงและเดินหลงทางในที่สุด
นึกถึงเหล่าเหมียวผู้พร้อมที่จะทิ้งนักเขียนตกยุคหากไม่ลงรอยกัน และมองหนังสือเป็นเหมือนกับสินค้า
แล้วก็คิดถึงตัวเอง
ข้างหูมีเสียงเจียงอวี่เฉิงหัวเราะเยาะดังขึ้นมา “พอกลับมาดูในยุคนี้ การทำหนังสือสักเล่มหนึ่งไม่ว่าเรื่องอะไรต้องนึกถึงตัวเลขไว้ก่อน แม้เนื้อหาของหนังสืออาจจะไม่ดีนัก แต่เป็นเพราะมันขายได้”
คำพูดของเจียงอวี่เฉิงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน ขณะที่โจ้วชวนเงยหน้ามองเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“หนังสือเล่มหนึ่งพอเขียนออกมาแล้วก็มีความนิยมในตัวมันเอง ทั้งอัตราการคลิกสะสมบนช่องทางออนไลน์ จำนวนคอมเมนต์ แล้วก็ชื่อเสียงของนักเขียน…นักเขียนชื่อดัง เมื่อเริ่มเขียนก็แทบจะมีสำนักพิมพ์จำนวนมากมาต่อคิวแย่งกันเสนอราคา แต่นักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงกลับไร้คนสนใจ จะออกหนังสือเล่มหนึ่งก็ยากเย็นเหลือเกิน…” ชูหลี่คิดแล้วพูดขึ้น “จาก บ.ก. ซึ่งเป็น ‘ผู้ที่มีความสามารถในการคัดเลือกนักเขียน’ ก็กลายเป็น ‘นักธุรกิจ’ นี่คงจะเป็นความแตกต่างกันระหว่างการทำหนังสือสมัยก่อนกับตอนนี้”
“ใช่ๆ ผมเคยเห็นกับตาเลยว่า บ.ก. ของนักเขียนตกยุคคนหนึ่งพูดกับนักเขียนด้วยตัวเองว่าเนื้อเรื่องเล่มนี้ขายยาก คุณอย่าเขียนเรื่องนี้เลย ที่นิยมตอนนี้คือบลาๆๆ คุณเขียนเรื่องนั้นสิ…” โจ้วชวนมองเจียงอวี่เฉิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ในตอนนั้นนักเขียนตกยุคคนนั้นโกรธแทบบ้า แถมยังพูดประโยคอันแสนคลาสสิกออกมาว่า…”
เจียงอวี่เฉิงตอบกลับเรียบๆ “กล้าดียังไง”
“เกือบคิดว่าเจียงอวี่เฉิงถูกวิญญาณโจ้วชวนเข้าสิงซะแล้ว”
โจ้วชวนก้มหน้าหัวเราะแบบไร้เสียงพลางตบตักตัวเอง
แต่ชูหลี่กลับหัวเราะไม่ออก…