บทที่ 60
เจียงอวี่เฉิงพิสูจน์สองประเด็นด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
ประเด็นแรก ชีวิตไม่ใช่แค่การสัญญาหรือกล่าวคำพูดที่สวยหรูเท่านั้น แต่ต้องมีหลักฐานที่มาพิสูจน์และยืนยันว่าสามารถทำได้จริง
ประเด็นที่สอง คนแรกที่ยืนขึ้นและประกาศว่าพวกเขาเชื่อใจคุณ อาจไม่ได้ชื่นชมในความสามารถของคุณจริงๆ ก็ได้ เขาเพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น หรือพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ‘ป่วยเข้าขั้นวิกฤตก็เลยไปหาหมอมั่วๆ’
โจ้วชวนคือคนประเภทที่ยืนอยู่ที่ด้านล่างของพีระมิด เขาเงยหน้าขึ้นด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมและกำลังจะบุกไปพิชิตปลายยอดของพีระมิด ส่วนเจียงอวี่เฉิงเป็นคนประเภทที่ยืนอยู่บนบ่าของโจ้วชวน อาจดูเหมือนสูงกว่า แต่แท้จริงแล้วอันตรายอย่างยิ่ง เพราะต้องแบกรับความหวาดกลัวจากการถูกมองข้ามและการถูกหัวเราะเยาะอยู่เสมอ…เหมือนกับมนุษย์ล่องหนอยู่บ้าง ด้วยจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกสี่พันถึงห้าพันเล่ม ทั้งยังต้องมานั่งเครียดว่าผักดองในมื้อต่อไปยี่ห้อไหนจะคุ้มกว่ากัน แถมถูกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจับจ้องแล้วพูดว่า นี่ ดูท่านเทพคนนั้นสิ ตีพิมพ์นิยายแค่สองแสนเล่ม แต่ขายมาสองปีแล้วยังขายไม่หมด ตอนนี้เกลื่อนถนนเลย จุ๊ๆ!
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ใช่ว่าชูหลี่จะไม่เคยเห็น…
ตอนที่ Mr. L เขียนบทความลงกระดานข่าว บางครั้งมีการตอบกลับการเขียนบทความน้อยกว่าหนึ่งร้อยครั้ง และมักจะมีบัญชีนิรนามออกมาโพสต์ว่า ‘ลอกเลียนแบบจนหาตัวเองไม่เจอ’ ท้ายที่สุด Mr. L จึงต้องเผชิญกับความสิ้นหวังและหมดหนทาง
สำหรับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ชูหลี่เข้าใจการมีอยู่ของพวกเขาและรู้ด้วยว่าคนพวกนี้จะสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นให้ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ของเธอ แต่เธอแค่อยากจะบอกว่า ‘…โธ่เอ๊ย พวกงี่เง่า นี่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ!’
อาจเป็นเพราะตอนนี้หญิงสาวถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี จึงส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ความคิดของเธอก็เริ่มเลื่อนลอยไปไกลแล้ว ดังนั้นหลังจากเจียงอวี่เฉิงส่งสัญญาคืนมา เธอก็เลยยังไม่ทันได้โต้กลับ
เจียงอวี่เฉิงมองชูหลี่รับสัญญาคืนด้วยท่าทางราวกับเครื่องจักร แล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “มันน่าอายที่ต้องพูดเรื่องแบบนี้ออกมาจากปากต่อหน้าแฟนคลับ เหมือนฝันสลายไปเลยใช่ไหมล่ะ”
ชูหลี่รูดซิปกระเป๋าผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง “หือ?”
…ที่บอกว่าฝันสลายน่ะ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ฝันอะไรมากนักหรอก เพราะสุดท้ายแม้แต่นักเรียนประถมก็รู้ดีว่าหากผลการเรียนแย่ลง ก่อนสอบพวกเขาต้องอ่านหนังสือกันอย่างจริงจัง แต่หลังจากเรียนจบแล้ว ชีวิตจะสอนเราเองว่าถ้าหาเงินไม่ได้ ท้องเราก็จะหิว เมื่อมีวิธีแก้ปัญหาที่ทำได้ง่ายๆ อย่างการอ่านหนังสือ แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ ยังไม่รีบทำอีก
“ฉันไม่ได้ฝันสลายสักหน่อยนะคะ”
“ผมกับโจ้วชวนไม่เหมือนกัน”
ชูหลี่พยักหน้า “ไม่เหมือนกันจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วรอยยิ้มของเจียงอวี่เฉิงก็จางลงเล็กน้อย แต่คราวนี้ดูเหมือนชูหลี่จะไม่ทันสังเกตเห็น เธอก้มหน้าลงพร้อมกับจิบน้ำเย็นและพูดโดยไม่สนใจใคร
“แต่คนเราก็แตกต่างกันไป ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยค่ะ อาจารย์โจ้วชวนเขียนหนังสือเพราะความอัดอั้นตันใจ เขาเพียงแค่จะเอาชนะพ่อของตัวเองด้วยการทำตัวให้เหนือกว่า ส่วนคุณเมื่อเริ่มเขียนนิยายก็เดินตามทิศทางการตลาด แถมยังเป็นนักเขียนที่น่าภูมิใจ เป็นลูกรักของพระเจ้าและมียอดขายสูงสุด แต่สุดท้ายแล้วทุกคนต่างก็มีชื่อเสียงกันหมด แล้วเราจะเปรียบเทียบกันไปทำไม มีอะไรไม่ดีเหรอคะ”
เจียงอวี่เฉิงตกตะลึง
ชูหลี่วางแก้วน้ำลงแล้วมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย “ถ้างานขายได้ก็แปลว่าเขียนดี ถ้าขายไม่ได้ แค่ปรับปรุงให้ดีขึ้นก็โอเคแล้ว…นักเขียนที่เขียนงานเอาใจตลาดไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้าใจไม่อยากเขียนงานเลย อดทนเขียนยังไงก็ขายไม่ได้หรอกค่ะ”
เจียงอวี่เฉิง “…”
ชูหลี่โบกไม้โบกมือ พูดด้วยสีหน้าเหมือนคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน “คุณกำลังถูกอาจารย์โจ้วชวนหลอก คุณคิดว่าเขามีเกียรติมากกว่าคุณจริงๆ เหรอ จุ๊ๆ ชายคนนี้หลอกคนเก่งที่สุด คุณอย่าไปคุยกับเขาเรื่องชีวิตและอุดมคติ มันไม่มีประโยชน์สำหรับคุณเลยค่ะ”
เจียงอวี่เฉิงจ้องหญิงสาวอยู่ไม่กี่วินาที ครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังมองสิ่งมีชีวิตที่มีมนตร์สะกดอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปนาน ดวงตาอันแสนล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งคู่นั้นก็เป็นประกาย หางตาของเขาคลายลงและหัวเราะเสียงดังลั่น
เขาแทบอดรนทนไม่ไหวอยากบันทึกเสียงและส่งให้โจ้วชวนฟัง
หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว เจียงอวี่เฉิงก็หยิบเมนูมายัดใส่มือชูหลี่และบอกให้เธอสั่งอาหาร เขาจะเลี้ยงเอง หญิงสาวไม่เกรงใจรีบคว้าเมนูสั่งเนื้อจานโต อย่างไรเสียกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง สิบกว่าวันข้างหน้า ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ จะเริ่มโปรโมตและเปิดพรีออเดอร์กับตัวแทนจัดจำหน่ายรายใหญ่ นี่เป็นการต่อสู้อันแสนยากลำบากที่จะพ่ายแพ้ไม่ได้ เติมพลังไว้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร