ชูหลี่วางโทรศัพท์มือถือลงแล้วเข้าไปทำอาหารในห้องครัว ต้มโจ๊กเนื้อง่ายๆ และหยิบผักดองในตู้เย็นที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เรียกคนที่นั่งยองๆ เผาต้นฉบับเพื่อป้องกันไม่ให้คนเร่ร่อนมาขโมยความคิดของตัวเองอยู่นอกประตูเข้ามากินข้าว
โจ้วชวนเข้าบ้านล้างมือเรียบร้อย ชะโงกมองโต๊ะอาหารทีหนึ่งแล้วทำหน้าตาเบื่อหน่าย “ไม่มีเนื้อ”
ชูหลี่หยิบช้อนตักเนื้อชิ้นโตขึ้นมาจากโจ๊ก “นี่อะไรเอ่ย”
“ผมหิวมาทั้งวัน คุณจะให้ผมกินแค่โจ๊ก…เห็นผมเป็นขอทานงั้นเหรอ” เขาบ่นแต่ก็ยังนั่งลงอย่างเรียบร้อย ถือตะเกียบกำลังจะเอื้อมไปคีบเครื่องเคียง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวก้มหน้าก้มตากิน ทำลายล้างอาหารบนโต๊ะตรงหน้าจนหมดสิ้นไปในพริบตา
เนื่องจากโจ๊กเพิ่งต้มเสร็จจึงร้อนมาก ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เธอตักโจ๊กคำใหญ่เข้าปากอย่างรวดเร็วก็จะแลบลิ้นออกมาระบายความร้อนเหมือนสุนัข แล้วส่งเสียง “ฮู่ๆ ฮ่าๆ” พร้อมกับใช้มือช่วยพัด…
“…” โจ้วชวนวางตะเกียบลง “กินเร็วขนาดนั้น จะรีบไปเกิดใหม่เหรอ”
“ถ้าไม่รีบนี่ไม่ต้องพูดถึงเกิดใหม่เลยค่ะ อย่างน้อยๆ ศพฉันควรจะเย็นได้แล้ว” ชูหลี่ประคองชามขึ้นมาด้วยมือสองข้าง ซดโจ๊กคำสุดท้ายจนหมด คว้าทิชชูที่อยู่บนโต๊ะอาหารมาเช็ดปาก “เหล่าเหมียวบอกว่าถ้าตีพิมพ์ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ได้เกินสามแสนห้าหมื่นเล่มจะยกตำแหน่งรอง บ.ก. ให้ฉัน ถึงเวลานั้นไม่ใช่ฉันที่จะบรรลุคนเดียว พวกคุณเองก็จะได้ติดสอยห้อยตามบรรลุไปด้วยกัน…”
ติดสอยห้อยตามบรรลุไปด้วยกัน?
นักบวชเต๋าตัวน้อยที่ไม่รู้ว่ามาจากยอดเขาไหนอย่างคุณคิดจะพาเซียนจิ้งจอกอย่างพวกเราขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้างั้นเหรอ
โจ้วชวนมองหญิงสาวที่เดินออกจากโต๊ะอาหารแล้วรีบวิ่งขึ้นข้างบน วิ่งเร็วเสียจนลื่นเกือบพลัดตกลงมาจากบันไดด้วยอาการใจหายใจคว่ำ…ขณะที่เธอกำลังงุ่มงามยื่นมือทั้งสองข้างคว้าราวบันไดไว้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วเอ่ยปาก
“แล้วยังไงล่ะ”
“ก็เลยจะลองใช้วิธีเปิดสั่งพรีออเดอร์ทางออนไลน์ดู ทำนองเดียวกับพวกนิยายโดจินเลยค่ะ ก่อนหน้านี้แม่นางเจี่ยนก็…ช่างมันเถอะ พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ ต้องเป็น Mr. L ถึงจะรู้เรื่อง แต่คุณไม่ใช่ Mr. L นี่นา” ชูหลี่ลุกขึ้นยืนได้แล้ว จากนั้นก็โผล่หัวออกมาจากบันได “สรุปว่าจากนี้ไปให้คุณทำอะไรคุณต้องให้ความร่วมมือนะคะ ยอดตีพิมพ์ครั้งแรกสามแสนห้าหมื่นเล่มเลยนะ มากพอที่จะเอาชนะเจียงอวี่เฉิงชายหนุ่มข้างบ้านได้แล้ว…”
“คุณเลิกเอาเขามายั่วผมได้แล้ว”
“แต่คุณต้องเชื่อฟัง”
“ไม่”
“ฉันทำเพื่อคุณทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ไปเลย”
เสียงวิ่งไปวิ่งมาชั้นบนดังตึงๆๆ ประตูห้องใต้หลังคาปิดลง เธอเริ่มค้นหาของทุกซอกมุมอยู่ข้างบน…ไม่นานเสียงนั้นก็หายไป ตอนที่โจ้วชวนกินโจ๊กได้ครึ่งชาม ชูหลี่ก็หอบเสื้อผ้าลงมาเข้าห้องน้ำ เมื่อโจ๊กของชายหนุ่มหมดชาม คนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาและนั่งลงบนโซฟาพลางสวมถุงเท้า ปลายผมที่สั้นยังชื้นอยู่เล็กน้อย…
“คืนนี้คุณช่วยพาเอ้อร์โก่วออกไปเดินเล่นหน่อยนะคะ” ชูหลี่สวมถุงเท้าไปด้วยพูดไปด้วย “เดี๋ยวฉันต้องกลับไปที่กอง บ.ก. อาจจะอยู่ทั้งคืน คงไม่กลับ…”
ท่าทางของชายหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนเตรียมตักโจ๊กชามที่สองชะงักไป เขาหันกลับมามองก็เห็นขาของคนที่นั่งอยู่บนโซฟานั้นขาวกระจ่างจนแสบตา
“ทั้งคืนเลยเหรอ ทุ่มเทขนาดนั้นเลย ไม่ได้ค่าโอทีสักหน่อย”
สาวน้อยที่นั่งอยู่บนโซฟายกขาขึ้นสูงเพื่อสวมถุงเท้า จากนั้นก็ทิ้งขาลงบนโซฟาจนเกิดเสียงดัง “แล้วทำเพื่อใครกันล่ะ!!!!”
“ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งรอง บ.ก. หรือไง”
ชูหลี่ยืนบนโซฟาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย…เท้าเอวด้วยท่าทางของคนที่รู้สึกว่าในที่สุดก็สูงกว่าชายหนุ่มตั้งครึ่งศีรษะ แถมยังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเสียด้วย ก่อนใช้นิ้วชี้ไปที่ชายหนุ่ม
“เพื่อคนบ้าบางคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คนอื่นต้องทำโอทีทั้งคืนเพื่อตัวเองยังมาพูดจาประชดประชันอีก!”
“คุณว่าใครบ้า”
“หึ”
หญิงสาวทำเสียงหึแล้วก็กระโดดลงจากโซฟา คว้ากระเป๋าผ้าขึ้นมาแล้วรีบไปใส่รองเท้าตรงโถงทางเข้า เจ้าเอ้อร์โก่วกระดิกหางตามมา เดินไปส่งเธอจนถึงนอกบ้าน…เมื่อเธอเดินจากไปไกลแล้ว จึงกลับเข้ามาโดยใช้จมูกดันประตูให้เปิดออก จากนั้นก็เห็นว่าเจ้านายของมันยังยืนอยู่ที่โต๊ะอาหารในท่าเดิม…
คนกับสุนัขจ้องตากันครู่หนึ่ง
“มองอะไรเล่า หรือว่าจะให้ฉันไปทำโอทีเป็นเพื่อนเธอ ทั้งคืนเลยนะ นี่ตายได้เลยนะ!”
เอ้อร์โก่วละสายตาไป
“หึ!”