โจ้วชวน : ก่อนอื่นคือเราไม่ได้มีความรักบนโลกออนไลน์ เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์และสวยงามระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง อีกอย่างเธอไม่รู้ว่าฉันคือ Mr. L แต่สัญญา ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ที่กำลังจะเซ็นก็ไม่ได้แย่ สุดท้ายเธอเห็นคอลเล็กชั่นภาพวาดฉบับลิมิเต็ดอีดิชั่นของแม่นางเจี่ยนตรงโถงทางเดินก่อนออกจากบ้าน ตอนนั้นเราอดหลับอดนอนแย่งมันมาด้วยกัน ฉันกลัวว่าเธอจะคว้ามันมาไม่ได้…โอ๊ย ไม่พูดละ พอพูดถึงตรงนี้แล้วฉันไม่ควรใจอ่อนทำความดี นายว่ากรรมมันจะตามมาหรือยัง…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือท่าทีฉันมันเลวร้ายจนทำให้เธอต้องหอบสัญญาการตีพิมพ์สี่หมื่นห้าพันเล่มนั้นเดินออกไปจนลับตา
เจียงอวี่เฉิง : กับจำนวนการตีพิมพ์แค่นี้ จริงๆ ก็สมควรแล้วที่เธอจะเดินออกไป ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลย…ในเมื่อเธอไม่รู้สักหน่อยว่านายคือ Mr. L แล้วนายจะตื่นตกใจไปทำไม
โจ้วชวน : ความจริงน่ะ ต่อให้ปิดไว้ยังไงก็ไม่มิดหรอก ฉันกลัวว่าเธอจะมารู้ทีหลัง พอนึกถึงวันนี้ที่ไม่ให้เกียรติเธอและหยาบคายจนน่ารังเกียจจนเธอต้องเดินออกไป ฉันคงจะเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า ‘บ๊ายบาย หลายปีที่เคยรัก แม่นางเจี่ยนขององค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก’ ให้ตัวเอง จากนั้นมันก็จะอยู่ในร้านหนังสือชั้นนำ และเป็นหนังสืออีบุ๊กที่อยู่ในรายการหนังสือขายดี
เจียงอวี่เฉิง : ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!
โจ้วชวน : …หัวเราะพอหรือยัง นี่เห็นฉันเล่าเรื่องตลกให้ฟังเหรอ
เจียงอวี่เฉิง : กำลังอยากนอนอยู่พอดี ขำจนหายง่วงเลย
โจ้วชวน : ถามนายหน่อยว่าจะทำยังไงดี!
เจียงอวี่เฉิง : อะไรคือทำยังไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ก็เซ็นน่ะสิ!!!
โจ้วชวน : สัญญาที่จำนวนการตีพิมพ์ครั้งแรกอยู่ที่สี่หมื่นห้าพันอะนะ! สี่หมื่นห้าพัน! ถ้าเป็นนาย นายจะเซ็นเหรอ นี่นายกำลังพูดภาษาคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เจียงอวี่เฉิง : จะตีพิมพ์เท่าไรแต่ก็ยังไม่ได้หมายถึงการขายนี่ ตราบใดที่สามารถขายได้ ค่าลิขสิทธิ์นายจะลดลงไหม อีกทั้งกำลังพูดถึงลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนมังงะและลิขสิทธิ์เกมอยู่ไม่ใช่เหรอ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดก็เป็นเลขเจ็ดหลัก จะว่ายังไงถ้านายได้ค่าตีพิมพ์เป็นแสนๆ หยวนอีก
โจ้วชวน : ทำไมนายถึงมีข้ออ้างเหมือนกันกับเธอ สมรู้ร่วมคิดกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ค่าลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ไม่ใช่ประเด็น เงินนั่นยังไม่พอค่าอาหารสุนัขของเจ้าเอ้อร์โก่วเลย…นายรู้ดีว่าฉันต้องการอะไร
เจียงอวี่เฉิง : อ๋อ ไม่อยากอยู่ตรงก้นพีระมิดแล้วใช่หรือเปล่า อยากจะปีนเขาว่างั้น ก๊ากๆ
โจ้วชวน : เมื่อฉันกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ กลับต้องมาเป็นฐานให้นายเหยียบขึ้นไปข้างบน มันน่าโมโหชะมัด
เจียงอวี่เฉิง : ฮ่าๆๆๆๆๆ นายกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ งั้นก็เลิกทำหนังสือเล่มนี้ ค่อยขยันทำเล่มหน้าแล้วขี่คอฉันขึ้นยอดพีระมิด ฉันจะไม่ไปไหนแน่นอน!
เจียงอวี่เฉิง : ที่นายดื้อดึงอยู่แบบนี้ไม่ได้อยากให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้เซ็นสัญญาหรอกเหรอ ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่นายเลี้ยงไว้ตั้งสามปี หรือว่านายไม่สนใจอะไรเลย ถ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยโกรธขึ้นมาแล้วกลายเป็นก็อตซิลล่า นายจะทำยังไง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เซ็นๆ ไปเถอะ
เจียงอวี่เฉิง : อีกอย่างหนึ่ง สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีระดับ ต่อให้เซ็นก็ไม่เป็นผลเสียต่อการก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดของนายหรอก
โจ้วชวน : เซ็นกับผีอะไร นายไปเถอะไป
เจียงอวี่เฉิงที่พึ่งพาอะไรไม่ได้เลยก็ออกจากการสนทนาไป ส่วนโจ้วชวนปิดคอมฯ พร้อมกับจิตใจที่สับสนวุ่นวายมากกว่าเดิม
เขาลุกขึ้นไปอาบน้ำและลงไปนอนบนเตียงรอบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งไขว่ห้างพร้อมกับกระดิกขาแล้วจ้องไปยังกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนด้วยมือและเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นตัวหนังสือ เขาใจลอย…เป็นแบบนี้อยู่สองชั่วโมง กระทั่งใกล้ถึงตอนตีสอง ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยประโยคนั้นของเจียงอวี่เฉิง ‘ฮ่าๆๆๆๆๆ นายกำลังมีช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ งั้นก็เลิกทำหนังสือเล่มนี้ ค่อยขยันทำเล่มหน้า’…
โจ้วชวน “…”
ที่อวี่เฉิงพูดมาก็ถูก?
ไม่ ที่เขาพูดมามันไม่ถูก นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่ คาดหวังให้เธอช่วยกดอนุมัติตัวเองในปีนั้น?
แต่ฉันยังมีหนังสือเล่มต่อไปให้ทำอีกมากมาย และถ้าจะช่วยเธอด้วยความรู้สึกส่วนตัวก็ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร…
โจ้วชวนคิดวกวนไปมาจนดึกดื่น ในที่สุดก็เอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว บนหน้าจอโทรศัพท์นั้นส่องสว่างปรากฏให้เห็นตัวเลขเพื่อให้ใส่รหัสผ่านเข้ามือถือ เขาจึงพิมพ์ข้อความ
‘พรุ่งนี้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งนำสัญญาเข้ามาด้วย’
คิดแล้วคิดอีก พูดแบบนี้ยังเท่ไม่พอ จึงเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค
‘ถ้าเลยเวลาจะไม่รอ’
แล้วจึงกดส่งไป ขณะที่ข้อความกำลังถูกส่งไปก็ได้ยินเสียงเตือนว่าส่งข้อความไปถึงแล้วดัง ‘ติ๊ง’ ชายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว่ห้างพร้อมกระดิกเท้าหยุดการกระทำ…และตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปในตอนนี้ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว ต้องคิดให้ดี ทันใดนั้นเขาก็โยนโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแล้วพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะเอาหมอนทุบหัวตนเองอย่างแรง!
เสียงดัง ‘ตุ้บ!’
ดังมากจนเจ้าสุนัขที่นอนหลับใหลอยู่ในคอกสะดุ้งตื่นตกใจ มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาง่วงงุน และมองไปที่เจ้าของซึ่งกำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่งอย่างงุนงง…หืม?