บทที่ 9
ชูหลี่ผู้ไม่รู้อะไรเลยว่าเพื่อนที่ดีของเธอได้ปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมอย่างไรบ้าง เธอรีบกลับไปสำนักพิมพ์อย่างดีอกดีใจ และก็มาถึงในช่วงพักเที่ยงพอดี…ทุกคนต่างนั่งอยู่ในห้องทำงานและทานอาหารที่สั่งมา บ้างก็คุยเรื่อยเปื่อยกับคนอื่นทางคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ทำงานเพื่อให้งานเดินหน้าเล็กน้อย ชูหลี่ก้าวเข้ามาพร้อมกับทักทายทุกคน…
เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าวันนี้ทุกคนดูน่ารักเป็นพิเศษ แม้แต่ปลานกแก้วและปลาซักเกอร์ที่เลี้ยงไว้ในตู้ปลาหน้าห้องก็ทอประกายความน่ารักออกมา
เธอรีบเดินไปยังหน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้า บ.ก. เปิดกระเป๋าของตนเอง กำลังจะหยิบสัญญาออกมาเพื่อรายงานข่าวดีต่ออวี๋เหยาว่าโจ้วชวนได้เซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทันได้พูดอะไร อวี๋เหยาก็เอ่ยปากถามออกมาก่อน
“ทำไมเธอถึงเพิ่งมาล่ะ”
เอ่อ…ชูหลี่ตะลึงไปชั่วขณะ ในมือของเธอคีบสัญญาไว้แน่น ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังด้านนอก “ฉันออกไปทำงานนอกสถานที่ค่ะ หัวหน้า บ.ก. ไม่ได้บอกหรอกเหรอคะว่าเหลือเวลาแค่สัปดาห์เดียวในการเซ็นสัญญา ไม่อย่างนั้นจะเริ่มระงับสัญญา ฉันเลยต้องไปพบโจ้วชวนจนกว่าเขาจะเต็มใจเซ็นสัญญา วันนี้ก็เลยไปที่บ้านโจ้วชวนอีก ที่มาสายเพราะ…”
อาจารย์โจ้วชวนนัดฉันไว้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งเพื่อไปเซ็นสัญญาค่ะ
ชูหลี่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เหล่าเหมียวที่อยู่ด้านหลังเธอก็คอยพูดเยาะเย้ยขึ้นมา “ผลก็คือไปเสียเที่ยวใช่ไหมล่ะ”
เมื่อเหล่าเหมียวพูดออกมา เสี่ยวเหนี่ยวซึ่งเป็น บ.ก. คนใหม่ก่อนหน้าเธอก็เงยหน้าขึ้นจากการสั่งอาหารดีลิเวอรี่พลางทอดถอนใจออกมาเบาๆ
“วันๆ เอาแต่วิ่งไปวิ่งมา ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน น่าจะรับมืออาจารย์โจ้วไม่ไหวหรือเปล่า แต่ได้ออกไปทำงานนอกสถานที่นี่ดีจริงๆ เลยนะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยฉันก็ชอบออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ที่สุดเลย ไม่ต้องประชุม แถมบางครั้งยังแอบนอนตื่นสายได้ด้วย…”
ชูหลี่ “…”
เธอตกตะลึง รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ฟังแล้วน่าอึดอัดใจยิ่งนัก จึงหันกลับมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
ในจังหวะนี้ บ.ก. ฝ่ายศิลป์เหล่าหลี่ก็พูดต่อว่า “ถ้าเราเริ่มทำงานในตอนบ่ายได้ ตอนเช้าฉันอาจมีเวลาไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน…ภรรยาฉันมักจะบ่นว่าฉันออกเช้าเกินไป ตอนลูกๆ กำลังกินข้าวเช้าก็ต้องออกจากบ้านแล้ว รู้สึกยังไม่ได้ทำหน้าที่พ่อเลย”
เหล่าเหมียวพูด “เหอๆๆๆ ช่างน่าสงสารเสียจริง!!!”
เสี่ยวเหนี่ยวหันไปหาชูหลี่พร้อมกับยิ้มกว้าง “หลังจากที่ได้ทำงานแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกสถานที่อีกเลย น่าอิจฉาเธอจังเลยนะ ชูหลี่”
จากนั้นเสี่ยวเหนี่ยวก็หยุดไปชั่วขณะ เธอยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วพูดเสียงเบาว่า “โอ๊ะ” พร้อมกับกล่าวขอโทษ “ฉันแค่พูดถึงความขี้เกียจสมัยเรียนเฉยๆ น่ะ ไม่ได้แนะให้เธอใช้มาเป็นข้ออ้างในการนอนตื่นสายและเอามาใช้กับการทำงานที่บริษัทนะ…ต่างก็ยุ่งกันทุกคน จะกล้าอู้งานไม่ยอมมาทำงานได้ยังไง” เธอพูดไปยิ้มไป
อาเซี่ยงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเสี่ยวเหนี่ยวเงยหน้าขึ้นมามอง เสี่ยวเหนี่ยวจึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและยิงคำถามไปที่อาเซี่ยง
“ใช่ไหมอาเซี่ยง”
อาเซี่ยงยิ้มออกมาซื่อๆ โดยไม่มีความเห็นอันใด
เหล่าเหมียวพูดกับชูหลี่ “สัญญาล่ะ”
ในเวลานี้พวกเขาต่างโจมตีชูหลี่จนในหัวของเธอนั้นว่างเปล่า ทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ โดยไม่ทันได้โต้ตอบเลยแม้แต่น้อย…และในตอนนี้เองอวี๋เหยาก็ยิ้มออกมา ก่อนที่ชูหลี่จะเอ่ยปาก อวี๋เหยาก็พูดกึ่งหยอกล้อ
“เหล่าเหมียว คุณก็อย่าไปบังคับเร่งเร้าชูหลี่มากเกินไป สัญญาฉบับนี้ส่งให้คุณไปจัดการ คุณใช้เวลาตั้งครึ่งเดือน แต่ก็ยังทำให้โจ้วชวนยอมเซ็นสัญญาไม่ได้ ชูหลี่เพิ่งเข้ามาทำงานเอง ทำไมต้องไปคาดหวังว่าเธอจะทำได้สำเร็จภายในสี่วัน…อีกอย่างนะชูหลี่ จะออกไปทำงานนอกสถานที่ไม่จำเป็นต้องออกไปทั้งเช้า เพราะเธอยังมีภาระงานอื่นต้องทำอยู่ ไม่ได้มีแค่เรื่องของโจ้วชวนให้จัดการ”
อวี๋เหยาพูดพร้อมกับมองไปที่ชูหลี่ ขณะที่ชูหลี่กำลังจะบอกว่าเธอได้นำสัญญาที่เซ็นเรียบร้อยกลับมาแล้ว แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นจังหวะที่เหล่าเหมียวแสดงอาการแข็งทื่อออกมา เธอจึงตกตะลึงไปประมาณสิบวินาที…ก่อนที่จะปล่อยนิ้วที่กำลังคีบแฟ้มสัญญาทันที ทำให้แฟ้มสัญญาตกลงไปในกระเป๋าตามเดิม
…เปรียบเสมือนสัตว์กินพืชตัวน้อย เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามก็เลือกที่จะกลืนสิ่งที่พูดออกมาไม่ได้กลับเข้าท้องไป
ชูหลี่ยืดตัวตรง วางกระเป๋าไว้บนที่นั่ง จากนั้นก็หันหน้าไปทางอวี๋เหยากล่าวคำขอโทษและยิ้มให้กับเธอ
“ขออภัยด้วยค่ะ หัวหน้า บ.ก. ฉันจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมโจ้วชวนค่ะ พรุ่งนี้จะไม่เข้างานสายอีกแล้วค่ะ”
ระหว่างที่ชูหลี่กำลังพูดอยู่นั้น ทั้งห้องทำงานก็เงียบไป เหล่าเหมียวหมุนเก้าอี้จึงทำให้เกิดเสียงกึกๆ ขึ้นเล็กน้อย คนอื่นๆ ทานมื้อกลางวันของตนเอง…เมื่อเธอหันไปทางทุกคน สีหน้าของพวกเขาต่างเพลิดเพลินกับมื้อกลางวันอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…”