ทุกคนย้ายมากินผลไม้หลังอาหารที่ห้องรับแขกต่อ แต่ฉงหรงแยกมายืนเงียบๆ อยู่นอกห้องครัว มองดูผู้ชายที่ห่างจากเธอเพียงประตูกระจกกั้น แขนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดม้วนขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบ เผยให้เห็นแขนแข็งแรง เขาล้างจานเสร็จแล้วก็เช็ดคราบน้ำมันรอบๆ เตาต่ออีก
ตลอดขั้นตอนทำอย่างจริงจังมีสมาธิจดจ่อ ฉงหรงไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกับเธอคนนี้ถึงมีสมาธิทำเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญแบบนี้ได้
สายลมบางเบาพัดผ่านหน้าต่างห้องครัวที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง พัดชายเสื้อของเธอกับเขาให้พลิ้วไหวไปเล็กน้อย
เขาเช็ดนานแค่ไหน ฉงหรงก็ดูนานเท่านั้น จากนั้นเขาก็ล้างมือ ปลดผ้ากันเปื้อนแล้วพับวางไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย คลายแขนเสื้อลงพร้อมกับเงยหน้ามองมาทางเธอ จากนั้นอยู่ดีๆ ก็หัวเราะ
‘ฉงหรง พวกเราเคยเจอกันมาก่อนในเกม’ เขาพูดอย่างมั่นใจ
ฉงหรงตื่นเต้นทันที เธอเดาว่าเมื่อครู่เวินเซ่าชิงต้องปล่อยหนอนปีศาจไว้ในอาหารอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน พอพบหน้ากันครั้งแรกทำไมถึงทำให้เธอรู้สึกดีๆ ได้
ดวงตาเขามีรอยยิ้ม ในรอยยิ้มมีความอบอุ่น ในความอบอุ่นมีสายลมฤดูใบไม้ผลิ ในสายลมเธอได้ยินเสียงหัวใจหวั่นไหว
วันนั้นส่วนลึกของความทรงจำของฉงหรงจดจารเพียงรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจสั่นสะท้าน ส่งผลให้เวลาต่อมาไม่นานเมื่อหลินเฉินบอกรักเธอแบบอ้อมๆ เธอถึงกับเหมือนมีผีผลักให้ตอบไปว่าเธอไม่ชอบทนายความ
‘ถ้าอย่างนั้นคุณชอบอะไร’ หลินเฉินถามตรงๆ
ฉงหรงจำได้ว่าคำตอบของเธอคือเธอชอบหมอ
ในโลกนี้มีหมอมากมาย แต่หลินเฉินก็เข้าใจได้ทันที
ที่น่าขันคือตอนนั้นเวินเซ่าชิงกลับไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว เธอกับเวินเซ่าชิงพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มีเพียงการทักทายทั่วๆ ไป ไม่ได้พูดคุยลึกซึ้งแม้แต่น้อย แม้เวลาอยู่ในเกม ส่วนใหญ่ก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ทำไมเธอจึงพูดคำว่าชอบออกไปง่ายๆ แบบนั้นกันนะ
นับแต่โบราณมาเพื่อนสนิทกับผู้หญิงหนีไม่พ้นเรื่องรักสามเส้าเหมือนละครน้ำเน่า ดังนั้นเวินเซ่าชิงจึงถูกสารภาพรักโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต่อจากนั้นก็เริ่มมีปัญหากับหลินเฉินโดยไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน
ฉงหรงรู้ตัวดีว่าเธอก่อเรื่องใหญ่แล้ว ยังเรียนปริญญาโทไม่จบก็ขอโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนหนีไปต่างประเทศ เพราะกลัวว่าถ้าเวินเซ่าชิงรู้ความจริงเข้าจะมาคาดคั้นเอากับเธอ ไม่แน่ว่าอาจมีบทลงโทษด้วยก็เป็นได้