ครั้งนี้จงเจินอยู่นิ่งๆ ไม่ดิ้น ครู่ใหญ่จึงพูดทั้งๆ ที่ผมยุ่งไปทั้งหัว ดวงตาสุกใส “ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยแข็งแรง พวกพี่ชายพี่สาวในบ้านก็รำคาญ ไม่เล่นกับผม มีแต่พี่ที่เล่นกับผม ผมจำได้ไม่ลืม”
ใช่แล้ว ตอนนั้นทารกชายคลอดก่อนกำหนดร่างกายอ่อนแอมาก เธอเขย่งเท้าดูเขาในตู้อบเด็กทารกแรกเกิด เด็กทารกที่เธอมองแล้วก็ถามผู้ใหญ่ว่า ‘ทำไมน้องชายต้องอยู่ในตู้’ ‘น้องจะลืมตาเมื่อไหร่’ ‘น้องจะเล่นกับหนูเมื่อไหร่’ ในที่สุดก็เติบใหญ่แล้ว
ฉงหรงฟังไปฟังมาก็เริ่มได้กลิ่นอันตราย เหมือนที่คิดไว้ไม่ผิด จงเจินกำหมัด กล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะต้องช่วยพี่แย่งผู้ชายกลับมาให้ได้!”
เธออดไม่ไหวค้อนไปทีหนึ่ง “…ไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ แต่ล้างแค้นใช่มั้ย”
ฉงหรงยืนอยู่ที่ระเบียงอีกครู่หนึ่งจึงกลับเข้าห้อง เธอยึดห้องหนังสือ จงเจินก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องรับแขก เธอเข้าใจว่าจงเจินหลับแล้ว เข้าไปก็เห็นเขานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเตี้ย บนโต๊ะมีตำราแพทย์หนาหนักหลายเล่ม เขาเกือบถูกฝังอยู่ในกองหนังสือเหล่านี้
ฉงหรงเดินเข้าไปหยิบมาดู อ่านไม่รู้เรื่อง หางตาเหลือบเห็นมุมโต๊ะมีบันทึกตำราแพทย์หลายเล่มจึงหยิบขึ้นมาดู
หนังสือเย็บกี่ใหญ่ๆ หนามากหลายเล่ม เป็นหนังสือที่เก่าพอสมควรแล้วแต่เก็บรักษาอย่างดี เมื่อเปิดออกดูก็เห็นอักษรตัวบรรจงเล็กขนาดเท่าหัวแมลงวันเขียนด้วยพู่กันแล้วเย็บรวมเป็นเล่ม เล่มหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน เล่มหนึ่งเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน เล่มแพทย์แผนจีนด้านในมีตัวอักษรภาษาจีนตัวเต็มจำนวนมาก เป็นตำรับยาหลายชนิด และมีรูปประกอบตัวยาสมุนไพรบางอย่าง ส่วนอื่นๆ เธอไม่รู้จัก เล่มแพทย์แผนปัจจุบันมีรูปกายวิภาคที่วาดด้วยมือ รูปประกอบประเภทต่างๆ ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ตัวอักษรภาษาอังกฤษสวยมาก
ฉงหรงถือไว้ในมือยังไม่วางคืน “เอามาจากไหนกันนี่”
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าจงเจินก็ฉายแววนับถือมาก “บอสผมไง! ประทับใจมากล่ะสิ เพื่อนในชั้นหลายคนอยากยืมเล่มนี้มาก! ได้ยินว่าครอบครัวเขาเป็นตระกูลหมอ เขาเรียนการแพทย์ตั้งแต่เด็กๆ พวกนี้เป็นบันทึกสรุปที่เขารวบรวมเอาไว้! ไม่มีขายตามร้านหนังสือด้วยนะ”
ลายมือวิจิตรบรรจง มีชีวิตชีวา ดูสง่างามแบบศาสตราจารย์ โลดแล่นอยู่บนกระดาษ ฉงหรงพยักหน้าเห็นด้วย “อืม…ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นใครใช้พู่กันเขียนแล้ว แถมยังเขียนเยอะมากด้วย” ฉงหรงดูอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกระแอมเบาๆ ถามหยั่งเชิงว่า “เอ่อ…ขอสักเล่มได้มั้ย”
“เฮ้ย พี่บ้าไปแล้วเหรอ?!” จงเจินเข้าโหมดอีโมจิอีกครั้ง ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขาจ้องหน้าพี่สาว จากนั้นก็ยื่นนิ้วมือออกมา “ก่อนหน้านี้มีลูกเศรษฐีขอซื้อราคานี้ เจ้านายผมยังไม่แยแสเขาเลย!”
ฉงหรงก็รู้ว่าเขาไม่มีทางยกให้ แต่ว่ายังไม่ยอมแพ้ ลองถามดูก่อน ถูกปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เธอยิ้มแล้วพูดชมว่า “อืม…เป็นผู้อาวุโสที่ลายมือมีเอกลักษณ์เด่นชัดมากเลยนะ”
จงเจินหน้าคว่ำ “บอกพี่ไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าเขายังหนุ่มมาก! ไม่ใช่ท่านผู้เฒ่าอะไรนั่น!”
ฉงหรงหัวเราะ ไม่ถือสาอะไร สไตล์เก่าแก่ขนาดนี้ ไม่ใช่ผู้เฒ่าก็ครึ่งผู้เฒ่าอยู่แล้ว
นับตั้งแต่วันที่ได้คุยกับฉงหรงอีกครั้งหลังจากไม่ได้คุยกันมานานมาก อีกหลายวันต่อมาเวินเซ่าชิงก็ไม่ได้เจอเธออีก เช้าวันหนึ่งเขายืนอยู่ตรงทางเดินมองประตูฝั่งตรงข้ามที่ปิดอยู่ ก้มหน้าถามรั่งอี๋รั่ง “คงไม่ใช่หนีไปอีกหรอกนะ หลังจาก ‘เข้ามอบตัว’ ก็หลบหนีเนื่องจากกลัวความผิดอีกครั้งงั้นหรือ”
รั่งอี๋รั่งคาบลูกบอลไว้ในปาก ส่ายหางมองเจ้านายด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง
เวินเซ่าชิงเลิกคิ้ว “ก็ได้ ลงไปเล่นลูกบอลข้างล่างกัน”