พอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก หางตาเวินเซ่าชิงเหลือบมองคนด้านหลังที่เหมือนลมพัดม้วนออกไป เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์
เวินเซ่าชิงกลับถึงบ้านอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ออกจากบ้านอีกครั้ง ขณะเดินผ่านสวนดอกไม้ของชุมชนก็เห็นเพื่อนบ้านคนใหม่สวมชุดลำลองย่ำหิมะอย่างโมโหอยู่ข้างกลุ่มเด็กน้อยที่กำลังเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน ท่าทางต่างกันมากกับผู้หญิงเก่งความมั่นใจสูงที่เจอเวลาเลิกงานเกือบทุกวัน
เขาดูอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วเดินออกไป
หิมะตกสะสมอยู่บนถนน เพราะอุณหภูมิต่ำมากจึงจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เวินเซ่าชิงไม่ได้ขับรถ โดยสารรถไฟใต้ดินหลายต่อจนมาถึงย่านเฉิงหนาน
หลังออกจากรถไฟใต้ดิน เดินต่ออีกช่วงหนึ่งจึงมาถึงหน้าบ้านแบบเรือนสี่ประสาน ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปด้านในก็ได้กลิ่นหอมของตัวยาสมุนไพร ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บยิ่งส่งกลิ่นเด่นชัด เขายืนอยู่ที่ปากประตูดมกลิ่นหอมของตัวยาอยู่ครู่หนึ่งจึงเคาะประตู
เคาะสามครั้งแล้ว เวินเซ่าชิงก็ไม่เคาะอีก เขายืนรอนิ่งๆ ครู่หนึ่ง สักพักประตูก็เปิดออกจากด้านใน เขายิ้มแล้วร้องเรียกอีกฝ่าย “คุณย่า”
หญิงชราผมสีเงินทั้งศีรษะแต่สีหน้าสดใสดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงเรียกเขาเข้าไปในบ้าน “กลับมาแล้วหรือ เดาแล้วต้องเป็นแกแน่ๆ คนอื่นเคาะประตู ไม่มีใครมีความอดทนอย่างนี้หรอก ทนรอไม่ได้ แต่แกน่ะรู้ว่าย่าอายุมาก เดินช้า”
เวินเซ่าชิงปิดประตู โอบบ่าหญิงชราอย่างสนิทสนม ประคองเธอเดินเข้าไปด้านใน “อืม ผมมาถึงตอนเที่ยง เลยมาขอข้าวกิน แล้วก็มารับรั่ง…รับหมาด้วย”
คุณย่าเวินฟังแล้วก็หัวเราะ “อะไรกัน ทำอย่างกับพวกเราไม่รู้ว่ามันชื่อ ‘รั่งอี๋รั่ง’ (ขอทางหน่อย) พอปู่เรียกชื่ออาคนเล็กของแกก็เห็นมันวิ่งหางปั่นไปหาแล้ว แกนี่น้า ทำไมยังซุกซนเหมือนตอนเด็กๆ อีก”
“ฮ่าๆๆ แล้วปู่ล่ะครับ”
“ป้าไม่สบาย ญาติผู้พี่ของแกเลยแวะมาเอายา ปู่เองก็อยู่ในบ้านคุมอาคนเล็กของแกต้มยาอยู่”
เวินเซ่าชิงเลิกคิ้ว “เซียวจื่อยวนก็อยู่นี่เหรอ”
เวินรั่ง…อาคนเล็กของเวินเซ่าชิงเป็นลูกที่เกิดตอนแก่ของผู้เฒ่าเวิน อายุมากกว่าเวินเซ่าชิงไม่เท่าไหร่ แม้ว่าทั้งสองคนมีศักดิ์เป็นอาหลานกัน แต่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เล่นกันหัวหกก้นขวิด มีปู่คอยดูแลจนโต เวินเซ่าชิงไม่เคยเรียกเขาว่า ‘อา’ แม้แต่ครั้งเดียว หลายปีก่อนเวินรั่งอายุยังน้อยแต่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในวงการแพทย์แผนจีน ไม่รู้ว่าถูกอะไรกระทบกระเทือนจิตใจถึงหลบไปพักที่วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา วันๆ เอาแต่กินแล้วก็นอนรอความตาย อาจเป็นเพราะว่ากินๆ นอนๆ นานไป ทางวัดเริ่มไม่พอใจ เขาจึงแขวนป้ายรับรักษาคนป่วยบนภูเขา ไม่สนใจว่ากิจการจะดีหรือไม่ดี วันๆ ว่างจัด ผู้อาวุโสสกุลเวินสั่งสอนวิชาแพทย์ให้เขาด้วยตัวเอง เวินรั่งจึงเชี่ยวชาญการแพทย์มาก เวลาผ่านไปนานเข้าชื่อเสียงเริ่มขจรขจาย มีคนป่วยมาหาเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนเดินทางข้ามอำเภอข้ามมณฑลมา เงินที่หาได้เขาถวายให้วัดทั้งหมด ถือว่าชดเชยค่าข้าว มีมากเกินก็ถือว่าเป็นเงินค่าธูปค่าน้ำมันตะเกียงไป
ขึ้นเขาคราวนี้อยู่นานหลายปี เวินเซ่าชิงใช้แผนขี้โกงหลอกให้อาลงจากดอยมาได้ จากนั้นก็ไม่สามารถหลบหนีไปอีก