ด้านนอกลมแรงมาก ค่ำคืนในฤดูหนาว ในห้องที่อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ฉงหรงมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างตรงหน้าเธอ แล้วก็นึกถึงใบหน้าด้านข้างที่ยิ้มกว้างในรูปเมื่อครู่อีก รู้สึกว่านี่คือความอบอุ่นที่เธอเฝ้าปรารถนารอคอย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีคนที่ชอบแล้ว แต่เธอกลับโลภมากปรารถนาความอบอุ่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เวินเซ่าชิงเห็นเธอเอาแต่จ้องหน้าเขาจึงเลิกคิ้ว เปรยอย่างแฝงความนัย “ผมว่านะ คุณไม่ต้องเอาแต่หลบหน้าผมหรอก ผมกับคุณมีมิตรภาพที่ดีต่อกันได้ คุยกัน ล้อเล่นกันเหมือนเพื่อนบ้านทั่วๆ ไป”
ฉงหรงมองชายหนุ่ม พยักหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน คำว่า ‘เพื่อนบ้าน’ ติดแน่นอยู่ในสมอง
เธอมองว่าตัวเองไม่ใช่คนโลภ แต่ความคิดที่จะครอบครองเวินเซ่าชิงเป็นความคิดที่โลภมากที่สุดเท่าที่เธอเคยมีมา พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนก็คิดครอบครอง หลายปีให้หลังมองหน้าเขาอีกหลายครั้งก็พบว่าความคิดนั้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจมาตลอด มีโอกาสมองอีกหลายครั้ง ความคิดนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ฉงหรงเข้าใจว่าเธอไม่มีความรู้สึกเฝ้าหวังอะไรกับเวินเซ่าชิงแล้ว แต่ห้วงเวลาทุกคืนก่อนนอนกับตื่นนอนตอนเช้า ความรู้สึกต้องการครอบครองรุนแรงถึงขั้นตัวเองก็ตกใจมาก ในใจเธอรู้ชัดเจนว่าที่จริงแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอยังคงคิดที่จะครอบครองผู้ชายคนนั้นเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา
แต่เขาบอกว่าเขากับเธอเป็นเพื่อนบ้าน ใช่แล้ว สาเหตุเพราะว่าหลินเฉิน เขากับหลินเฉินคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้วสินะ
ไอร้อนในแววตาฉงหรงเย็นลงไปทีละน้อยๆ จริงๆ แล้วเวินเซ่าชิงไม่ได้คิดอย่างที่เธอเข้าใจ คำพูดที่เขาพูดในคืนนี้ทั้งหมดเพื่อทำให้ฉงหรงสงบสติอารมณ์ ไม่ให้เธอหลบหน้าทุกครั้งที่เห็นเขา เพื่อนบ้านงั้นหรือ นี่คงจะเป็นแผนขั้นที่หนึ่งของเขา แผนขั้นที่หนึ่งสู่เป้าหมายเอาชนะใจฉงหรง เกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ จากเพื่อนบ้านมาเป็นเพื่อนก็ง่ายขึ้นเยอะ จากเพื่อนค่อยขยับไปสู่ความสัมพันธ์ระดับที่เขาเฝ้าหวัง นั่นก็คือแสดงความในใจออกมาอย่างอิสระ
เวินเซ่าชิงโตมากับเซียวจื่อยวนตั้งแต่เล็ก วิธีคิดวิธีลงมือได้รับอิทธิพลจากญาติผู้พี่คนนี้ ช่วงที่เซียวจื่อยวนตามจีบสุยอี้ สุยอี้มักย้ำว่าต้องขีดเส้นแบ่ง ‘รุ่นพี่’ อย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เซียวจื่อยวนได้ยินก็จะทำสีหน้าเย็นชา แต่เวินเซ่าชิงกลับรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี รุ่นพี่ดีออกจะตาย แต่ก็นะ ‘พึงระวังไฟไหม้ ระวังโจรขโมย และระวังรุ่นพี่’* โบราณว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องก็เป็นความสัมพันธ์ที่มักมีลับลมคมในต่อกัน เป็นกลุ่มที่มีโอกาสมีปัญหาสูง สุยอี้ทำแบบนี้เพื่อบอกเป็นนัยๆ ต่อเซียวจื่อยวนนั่นเอง
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าในด้านความเป็นตัวแสบเวินเซ่าชิงยังไม่ถึงระดับญาติของเขา แต่เขาเกเรกว่าเซียวจื่อยวน
รั่งอี๋รั่งหมอบอยู่ข้างเท้านิ่งๆ ได้ครู่เดียวก็เริ่มอยู่นิ่งไม่ไหว เริ่มถูกเวินเซ่าชิงเล่นงาน ฉงหรงมองชายหนุ่มหัวเราะหยอกล้อกับเจ้าหมาก็รู้สึกว่าผู้ชายที่ดีกับสัตว์เลี้ยงได้ขนาดนี้ต้องมีจิตใจอบอุ่นใสสะอาดแน่ๆ
เธอมองไปที่ผนังแขวนรูปข้างประตู มีแต่รูปเขาถ่ายคู่กับรั่งอี๋รั่ง ตั้งแต่ลูกหมาจนมาถึงตอนนี้ รูปเขายิ้มกอดรั่งอี๋รั่ง รูปรั่งอี๋รั่งกระโดดอยู่ข้างๆ เขา รูปหนึ่งคนหนึ่งหมาเล่นกัน รูปเขาแกล้งรั่งอี๋รั่งเต็มไปทั้งผนัง ครั้งแรกที่เธอมาบ้านเขาก็สังเกตเห็นแล้ว วันนี้เดินผ่านประตูก็พบว่ามีรูปเพิ่มมาอีกหนึ่ง ดูจากเสื้อผ้าน่าจะเพิ่งถ่ายวันนี้แล้วเอามาแขวนเลย
เธอจ้องรูปนั้น ถามเสียงเบาๆ ว่า “ทำไมคิดจะเลี้ยงมัน ปกติหมอมักรักสะอาด ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่หรือ”
เวินเซ่าชิงเงยหน้ามองหญิงสาว รู้สึกว่าคืนนี้อารมณ์ของเธอแปลกไปจากปกติ เขาก้มหน้ามองรั่งอี๋รั่ง ตอบอย่างจริงจังว่า “ตอนแรกเพราะกินข้าวแล้วรู้สึกเบื่อ เลยคิดจะเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนกินข้าวด้วยกัน ทีแรกจะเลี้ยงบอร์เดอร์ คอลลี่ เพราะมันฉลาด เลี้ยงง่าย แต่พอไปดูที่ร้านสัตว์เลี้ยงหลายรอบก็ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจ กลับไปถูกใจเจ้านี่ ต่อมาถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่บอร์เดอร์ คอลลี่ คิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มันก็ฉลาดมาก ไม่เลือกกิน เชื่อฟังดี กลางวันเฝ้าบ้าน กลางคืนเดินเล่นเป็นเพื่อน ตอนอ่านหนังสือก็ใช้เป็นหมอนรองขา”
ฉงหรงเงยหน้ามองเขา “คุณเชื่อความประทับใจแรกพบด้วยเหรอ”
เวินเซ่าชิงหัวเราะ “ทำไมผมจะไม่เชื่อล่ะ”
ฉงหรงส่ายหน้า ไม่ตอบเขา กลับพึมพำ “ตอนแรกจะเอาบอร์เดอร์ คอลลี่ แต่ไม่มีตัวที่ชอบ…เจอที่ชอบแต่พบว่าไม่ใช่บอร์เดอร์ คอลลี่…” เธอพูดซ้ำเบาๆ สีหน้าหมองไปเล็กน้อย
ความรักก็คงเป็นแบบนี้สินะ
เขาเชื่อความประทับใจแรกพบ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เขากับฉันไม่มีบุญวาสนาต่อกันล่ะมั้ง