ความคิดของเธอถูกตัดขาดจากสิ่งทั้งมวลทันทีที่ชายหนุ่มดันตัวเธอออกจากอ้อมอกอบอุ่นแข็งแกร่ง ทีแรกอาริสาคิดว่าเขาจะปฏิเสธสิ่งที่เธอเสนอให้ จะหาว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าไม่อายหรือเปล่า แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัวออกมา มือของเธอก็ถูกเขารั้งเอาไว้ พอเธอเลิกคิ้วด้วยความพิศวงสงสัย ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขากึ่งลากกึ่งจูงเธอ
ดะ…เดี๋ยวก่อน จะทำอะไร นี่ถ้าหากว่าเขาคิดเกินเลย หาว่าเธออ่อยเขาเพื่อจะชวนไปโรงแรมล่ะจะทำยังไง!
โอยยยย เธอไม่ได้คิดจะชวนไปทำเรื่องอย่างนั้น มันก็แค่ความรู้สึกดีๆ ที่บังเอิญเกิดขึ้นมา แล้วเธอก็แค่อยากส่งผ่านไปให้เขา ไม่ได้คิดอกุศลอะไรมากไปกว่านี้เลย!
อาริสาหน้าเสีย หากว่าเขาคิดว่าเธอส่งสัญญาณให้เขาทำมิดีมิร้ายเธอล่ะก็…เธอเอาเขาตายแน่ คนบ้าเอ๊ย! อุตส่าห์รู้สึกดีด้วยแล้วแท้ๆ อย่าคิดนะว่าเธอจะหวั่นไหวเพราะเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!
ภิมุขเปิดประตูรถแล้วดันเธอเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ขับรถพุ่งออกไปโดยไม่ถามไถ่เธอเลยสักคำว่าอยากไปด้วยหรือเปล่า อาริสารีบเปิดกระเป๋า เปล่า เธอไม่ได้คิดจะแจ้ง 191 เธอจะส่งข้อความไปถามยายเพื่อนสองคนนั้นว่าเธอควรทำยังไงดี
แล้วจู่ๆ รถก็จอดที่ริมแม่น้ำ อาริสาจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะลงจากรถหรือว่านั่งต่อไป
“ข้างล่างลมเย็นมากเลยนะครับ” เขาเปิดประตูรถให้เธอ
มีเก้าอี้ให้นั่งอยู่ริมทาง เขาเดินไปนั่งแล้วตบตรงที่ว่างข้างๆ บอกให้เธอมานั่งด้วยกัน อาริสากะพริบตาปริบ ยืนนิ่งอยู่สักพัก คิดสะระตะได้ก็เดินไปนั่งตามที่เขาบอก
“สมัยเด็กๆ ผมต้องมารอผู้ปกครองมารับที่นี่ นั่งอยู่ตรงนี้ บางทีก็ร้อนแต่ก็ทนไหว”
“คุณภิมุขเรียนอยู่โรงเรียนละแวกนี้เหรอคะ”
“โน่นครับ รั้วสีเหลืองนั่น”
“อ๋อ…ถ้าตอนเย็นๆ สวนตรงนี้คงคึกคักน่าดู”
“ผมชอบช่วงเวลาโรงเรียนเลิกนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย มีแต่เสียงหัวเราะ ผู้คนก็เยอะแยะ เวลานี้ถ้าเบื่อๆ ก็จะมานั่งเล่นที่นี่” แล้วเขาก็หันมาทางเธอ “ผมถือว่าที่ตรงนี้เป็นเหมือนหลุมหลบภัยของผม ผมบอกแค่คุณแอ๊นท์คนเดียว”