หญิงสาวเสหันไปหยิบผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดพื้นเคาน์เตอร์ แขนเล็กๆ ทำงานขะมักเขม้น ระหว่างนั้นก็แกล้งถามเสียงเริงร่า
“งั้นคุณภิมุขรับเอสเพรสโซสองชอตใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ แต่วันนี้ผมขอไม่จ่ายด้วยเงินสดนะ ขอจ่ายด้วยแรงงานแทนได้ไหม”
“ยังไงคะ”
“วันนี้ตั้งใจจะมาเป็นเด็กเสิร์ฟครับ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มา เดี๋ยวลูกค้าคู่นี้ผมจัดการเอง” ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อความทะมัดทะแมง พอได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตู มือเรียวแบบผู้ดีของเขาก็แย่งสมุดจดออเดอร์ไปหน้าตาเฉย
“สวัสดีครับ ค็อฟฟี่ การ์เด้นยินดีต้อนรับครับ ต้องการมุมนั่งแบบส่วนตัวหรืออยากได้แบบโอเพนเอาต์ดอร์ครับผม”
ท่าทางกระตือรือร้นของคนตรงหน้าทำเอาเธออ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้ตั้งใจตะกุยหัวใจของเธออีกแล้วใช่ไหม แล้วใจของเธอก็ดันหลงเล่นตามไป แกว่งไกวตามที่เขาต้องการ
อาริสาใจเสีย เธอลูบแหวนที่ปกรณ์ให้ ทำยังไงดี…ทำยังไงดี
“ห้ามใจอ่อน ห้ามๆๆๆ”
ถึงจะเตือนตัวเองเสียงแข็งแบบนั้น แต่ตลอดทั้งวันอาริสาก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะสบตากับเขา สายตามันเป็นไปโดยอัตโนมัติ มันเอาแต่เฝ้าวนเวียนมองแผ่นหลังหยัดตรงของผู้ชายที่วิ่งวุ่นรับรองลูกค้าไปมา
ตลอดทั้งวันเขาทำงานอย่างคล่องแคล่ว ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพผู้บริหารหนุ่มที่เธอเคยรู้จัก ความต่างนี้เกินกว่าที่เธอจะกล้าจินตนาการ ภายใต้ท่าทางสุภาพนั้นตอนที่เธอกับเขาสบตากันมันมีสัญญาณอันตราย
ใช่ๆๆ ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตรายที่ทำเอาเพื่อนรักของเธอถึงกับจะฆ่าตัวตายมาแล้วนะยายแอ๊นท์
“ท่องเอาไว้สิ ท่องเอาไว้”
“คุณแอ๊นท์ครับ”
“คะ?”
การไม่สนใจเสื้อผ้าที่รีดจนกลีบแทบบาดมือจะยับย่นเพราะต้องพับแขนเสื้อให้ทะมัดทะแมง การไม่สนใจว่าภาพเด็กเสิร์ฟกาแฟมันจะต่ำต้อยกว่าผู้บริหารเงินเดือนหลักแสนอย่างเขา แล้วยังจะรอยยิ้มที่มีให้กับลูกค้ากับการบริการอย่างไม่ถือตัว เขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำให้เธอชื่นชมบูชา?
หรือว่า…
จู่ๆ อาริสาก็นึกสงสัยว่าสิ่งที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนๆ มันจะผิดพลาด หรือว่าภาพที่เธอเห็นในเวลานี้ก็คือภาพที่แท้จริงของเขา?
ภิมุขก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา เป็นผู้ชายที่ดี เป็นคนปกติธรรมดาที่อาจจะมีผิดพลาดบ้างเท่านั้นเอง