บทที่ 1
“หลงทางรึ…?”
วันนั้นของวัยเด็กคือวันที่ฉันได้รู้จักช่วงเวลาห้าปีอันโหดร้ายที่สุดในชีวิต
[นี่! ตื่นได้แล้ว ถ้าไม่รีบตื่นพ่อจะไม่อยู่เฉยแล้วนะ!]
ฉันสะดุ้งลืมตาตื่นเพราะเสียงปลุกอันน่าหนวกหูที่ดังจากมือถือ ขณะนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้า แต่ฉันต้องไปโรงเรียนกวดวิชาตอนบ่ายโมง ฉันรู้สึกผิดที่ตัวเองรีบตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เร็วเกินไป แต่ตอนนี้ก็ตาสว่างเกินกว่าจะนอนต่อแล้ว
พอเดินออกมาจากห้องนอนก็พบกับบรรยากาศอันเงียบสงัดของบ้าน หากเป็นบ้านอื่น ลูกก็คงจะเอ่ยถามว่า ‘แม่ไปไหนเหรอคะ’ หรือไม่ก็ ‘พ่อไปทำงานแล้วเหรอคะ’ ทว่าบ้านหลังนี้กลับต่างออกไป
ถ้าจะให้พูดถึงพ่อล่ะก็ พ่อน่าจะเป็นนักประวัติศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นนักเขียนเสียอีก เพราะพ่อเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านทั้งวันเพื่อศึกษาหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้น ส่วนแม่น่ะเหรอ ตอนนี้ฉันไม่มีแม่หรอก เพราะแม่เสียชีวิตตั้งแต่ในวันที่ฉันลืมตาดูโลกแล้ว
พ่อหาเลี้ยงครอบครัวโดยการเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าค่าต้นฉบับเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด ดังนั้นบางครั้งบางคราวพ่อจึงต้องรับงานเป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัย ฉันซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงไม่ได้เติบโตมาอย่างยากลำบากมากนักภายใต้การดูแลเช่นนี้ของพ่อ และถึงแม้ว่าตอนที่ฉันยังเด็กฉันจะเคยเผชิญกับเรื่องสะเทือนใจมากก็ตาม แต่ตอนนี้เวลาผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันคิดว่าเรื่องสะเทือนใจในตอนนั้นได้จางหายไปแล้ว
หลังจากที่ร่างกายเคลื่อนไหวได้สักพัก ความหิวก็เริ่มมาเยือน ในห้องครัวมีอาหารเช้าที่พ่อทำเตรียมไว้ให้ มันไม่ใช่อาหารพิเศษอะไรมากมายหรอก ก็แค่เครื่องเคียงไม่กี่อย่าง ซุป ไข่ทอด แล้วก็ข้าวเปล่า มันเป็นอาหารเช้าอันแสนธรรมดาที่มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กวางอยู่ข้างๆ
‘พ่อจะกลับบ้านไม่เกินสามทุ่ม รักนะจ๊ะ ลูกสาวของพ่อ’
แม้จะเป็นข้อความที่อ่านแล้วรู้สึกเลี่ยนชอบกล แต่ตอนนี้ฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับการแสดงความรักแบบนี้ของพ่อที่เริ่มทำมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน
เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่โดดเดี่ยวเสียจริงๆ แทบไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยนอกจากเสียงรถยนต์ที่อยู่ภายนอกอพาร์ตเมนต์ ฉันนั่งลงแล้วหยิบช้อนขึ้นมา ซุปที่อยู่ตรงหน้าเย็นชืดหมดแล้ว แต่การอุ่นซุปให้ร้อนก่อนกินก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมากสำหรับคนเพิ่งตื่นนอน และขณะที่ฉันกำลังตักข้าวคำโตขึ้นมานั้น
โครม!
เสียงบางอย่างก็ดังมาจากห้องหนังสือของพ่อ ถ้าเป็นบ้านอื่น คนในบ้านคงคิดว่า ‘ขโมยเหรอ รีบแจ้งตำรวจดีกว่า’ แต่สำหรับบ้านของฉันนั้นแตกต่างออกไป ฉันส่ายหัว ยัดข้าวใส่ปากหนึ่งคำ แล้วลุกเดินไปยังห้องหนังสือของพ่ออย่างเหนื่อยหน่าย
โครม! โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง ห้องหนังสือของพ่อมีขนาดเล็กแค่สองพยอง แต่ฉันเรียกห้องนั้นว่า ‘โกดัง’ เพราะมีหนังสือมากมายเต็มไปหมด มันแคบถึงขนาดที่เข้าไปได้แค่คนเดียวแล้วก็ขยับตัวเดินไปต่อไม่ได้อีก และยังเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก เนื่องจากไม่รู้ว่ากองหนังสือเหล่านั้นจะพังลงมาเมื่อไหร่ เสียง ‘โครม’ ที่ได้ยินจึงเป็นเสียงกองหนังสือพังลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตู
“ไหนพ่อบอกว่าจะกลับมาตอนมืดไงคะ”
แต่ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง ภายในห้องอันแสนคับแคบที่รายล้อมไปด้วยหนังสือนั้นมีคนยืนอยู่ และคนคนนั้นไม่ใช่พ่อ แต่เป็นชายชาวโชซอน อายุประมาณสิบปลายๆ ใส่เสื้อคลุมยาวสีกรมท่า สวมหมวกทรงสูงสีดำ และถือดาบที่มีฝักดาบห้อยอยู่ที่เอว ทุกครั้งที่ชายผู้นั้นขยับตัว ฝักดาบที่เอวก็จะกวาดกองหนังสือล้มครืนลงมา พอเอี้ยวตัวไปทางนั้นทีทางโน้นทีก็ยิ่งทำให้หนังสือล้มลงมาเรื่อยๆ ฉันมองภาพนั้นด้วยสายตาเวทนาก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“เดี๋ยว! หยุดก่อน!”
ฉันยกช้อนที่อยู่ในมือชี้ไปที่หน้าของเขา
“อย่าเพิ่งขยับตัว!”
เขาหยุดชะงัก
“ก่อนอื่นนายต้องใจเย็น! แล้วเอาฝักดาบที่เหน็บเอวนั่นออกก่อน เห็นมั้ยว่ามันแกว่งโดนหนังสือล้มหมดแล้วไม่ใช่สิ เอาดาบเก็บใส่ฝักเสียก่อน นั่นดาบของจริงใช่มั้ย ตายแล้ว! ดาบของจริงนี่นา เก็บเดี๋ยวนี้เลย! มันอันตรายนะรู้มั้ย”