Jamsai
ทดลองอ่าน พานพบฝ่าบาทในห้วงกาล บทที่ 1-บทที่ 2
“เกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่นายจะมาที่นี่”
เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบออกมา “ตอนนั้นทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา บ้านเมืองกำลังแย่…”
“ทหารญี่ปุ่นเหรอ”
ตอนนั้นเองฉันจึงได้รู้ว่าพ่อเดินทางข้ามเวลาไปยังช่วงเวลาที่เกิดสงครามอิมจิน
หลายปีก่อนพ่อเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาค้นคว้าเรื่ององค์ชายควังแฮ พ่อจึงเดินทางกลับไปกลับมาตั้งแต่ช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้าซอนโจ ช่วงองค์ชายควังแฮขึ้นครองราชย์ ไปจนถึงระยะแรกที่พระเจ้าอินโจขึ้นครองราชย์ เพราะอย่างนั้นฉันจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายควังแฮเป็นอย่างดีตามไปด้วย
“ใช่ พวกทหารญี่ปุ่น พวกมันบุกเข้ามา ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่ของข้าถูกจับไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ข้าจึงรีบไปยังที่แห่งนั้น เมื่อไปถึงก็พบว่าท่านพี่ของข้ากลับถูกพาไปยังที่อื่น หมู่บ้านที่ข้าพักอยู่นั้นถูกพวกทหารญี่ปุ่นปิดล้อม ข้าจึงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสามวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง”
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องไปที่ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยองด้วย ต่อให้อยากไปดูประวัติศาสตร์โชซอน แต่ที่นั่นไม่ใช่สถานที่พิเศษอะไรเลย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดและปะติดปะต่อความทรงจำ คำพูดของเขาก็พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ
“แล้วระหว่างนั้นเอง พวกทหารญี่ปุ่นก็จุดไฟเผาหมู่บ้านที่ข้าแอบซ่อนตัวอยู่ ทั้งหมู่บ้านจึงกลายเป็นทะเลเพลิง”
“ทะ…ทะเลเพลิงเหรอ แล้วไงต่อ จากนั้นเป็นไงต่อ”
“ข้าออกมาจากที่ซ่อนตัว ตั้งใจจะออกไปจากหมู่บ้าน แต่ข้าบังเอิญได้ยินเสียงเด็กผู้หญิง… ใช่แล้ว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ ระหว่างนั้นมีทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งขี่ม้ามาพร้อมกับชักดาบขึ้นสูง ข้าไม่สามารถอยู่เฉยได้ ข้าจึงชักดาบเข้าประจันหน้ากับทหารญี่ปุ่นผู้นั้น”
คำพูดอันน่ากลัวที่ได้ฟังจากปากของคนที่อยู่ในสงครามนั้นจริงๆ ทำให้ฉันถึงกับขนลุกและยิ่งเป็นห่วงพ่อมากขึ้น
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ระหว่างที่ข้าประดาบกับทหารญี่ปุ่น ข้ารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่”
พ่อเป็นคนที่ส่งเขามายังโลกอนาคตอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่ใช่พ่อไม่มีทางที่คนในอดีตจะเดินทางมายังอนาคตได้เอง แต่ทำไมพ่อถึงไม่กลับมาด้วยกันล่ะ ทำไมถึงพาเขาที่กำลังต่อสู้อยู่กับทหารญี่ปุ่นมายังอนาคตเพียงแค่คนเดียว
มีกฎว่านักเดินทางท่องเวลาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีต พ่อเคยบอกว่านี่คือกฎของตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
‘คยองมิน ไม่ว่านักท่องเวลาจะพยายามเปลี่ยนประวัติศาสตร์สักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ ถ้านักท่องเวลาพยายามเปลี่ยนประวัติศาสตร์ นักท่องเวลาจะต้องพบเจอกับความตายเพื่อเป็นการรักษาประวัติศาสตร์ให้อยู่คงเดิม ตระกูลของเราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความตายที่ไร้เสียง’ และประวัติศาสตร์ก็จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมเพื่อให้อนาคตดำรงอยู่ในทางของมันต่อไป’
ฉันส่ายหน้าเพื่อลบความคิดในแง่ร้ายที่เกิดขึ้นในหัวใจ พ่อส่งเขามาที่นี่ ถ้าเขาคือคนที่จะต้องตาย ไม่ว่าจะตายด้วยถูกไฟเผาหรือตายเพราะต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น พ่อคงไม่ช่วยเหลือเขาเอาไว้หรอก เพราะนั่นหมายถึงพ่อต้องแลกมันด้วยความตายของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นพ่อไม่มีทางช่วยเขาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลยอย่างแน่นอน พอลองคิดดูแล้ว ฉันก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือตอนนี้พ่อจะตกอยู่ในสภาพแบบไหน ป่านนี้ยังไม่กลับมา แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพ่อแน่ๆ
ฉันเดินออกมายังห้องนั่งเล่น แล้วหยิบรูปถ่ายล่าสุดที่ถ่ายกับพ่อยื่นให้เขาที่เดินตามมาด้านหลังดู
“ดูนี่หน่อยสิ คนที่อยู่ตรงนี้เขาเป็นพ่อของฉัน ตอนนั้น…นายเห็นพ่อของฉันหรือเปล่า”
“หมายถึงท่านพ่อของเจ้ารึ”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ข้าไม่แน่ใจ… ข้าจำไม่ค่อยได้นัก”
“คิดให้ดีๆ สิ! ตอนที่นายต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น พ่อของฉันอยู่ตรงนั้นแน่ๆ”
เขาเพ่งมองรูปถ่าย “ข้าไม่เห็น”
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉันรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถอธิบายความจริงทั้งหมดให้เขาฟังในตอนนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อ พ่อต้องจับมือหรือแขนของเขาเอาไว้ถึงจะส่งมายังอนาคตได้ แต่เขากลับบอกว่าไม่เห็นพ่อ!
แล้วสุดท้ายฉันก็ร้องไห้โฮออกมา
สงครามอิมจิน หมู่บ้านที่กำลังถูกไฟเผาและถูกทหารญี่ปุ่นปิดล้อม แค่จินตนาการถึงสถานการณ์ที่พ่อไม่สามารถกลับมาได้ก็รู้สึกสยดสยองแล้ว ตอนนั้นเขาที่มองดูฉันกำลังร้องไห้กลับเอ่ยปากออกมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“หรือว่า…ไม่จริง”
“อะไร นึกอะไรได้งั้นเหรอ” พอคิดว่าเขาต้องนึกอะไรบางอย่างได้แน่ๆ ฉันก็เช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“ท่านพ่อของเจ้าไม่ใช่คนโชซอนใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่… เอ่อใช่ พ่อเป็นคนโชซอน”
“ข้าเห็นชายผมสั้นคนหนึ่ง ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นทหารญี่ปุ่น แต่ทหารญี่ปุ่นนั่นไม่มีทางเป็นท่านพ่อของเจ้า”
“พ่อของฉันไม่ใช่ทหารญี่ปุ่น แต่พ่อไว้ผมสั้น นายนึกอะไรออกอีก”
“พอข้าทำให้ทหารญี่ปุ่นนั่นตกจากม้าได้ ข้าก็ประดาบกับมัน แล้วพอข้าหันไปมองที่เด็กผู้หญิงคนนั้นข้าก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงเอาไว้ ชายผู้นั้นผมสั้น ใส่ชุดประหลาด และถูกดาบของทหารญี่ปุ่นแทง”
“ถูก…ถูกแทงเหรอ”
เขาไม่ตอบ คงเป็นห่วงว่าฉันจะช็อกถ้าคนคนนั้นเป็นพ่อของฉันจริงๆ “ข้าอาจจะมองพลาดก็ได้”
ฉันแน่ใจว่าพ่อต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ใจฉันอยากจะไปที่นั่นซะเดี๋ยวนี้ ถึงผู้หญิงในตระกูลจะไม่สามารถเดินทางข้ามเวลากลับมายังโลกปัจจุบันได้ตามอำเภอใจ แต่ถ้าได้เจอพ่อ พ่อก็จะพาฉันกลับมาด้วยกัน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไปโชซอน”
“โชซอน? เจ้าน่ะรึ”
“ใช่ พ่อของฉันอยู่ที่นั่น ฉันต้องไปตามหาพ่อ แล้วนายก็ต้องกลับไปโชซอนด้วยไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นไปกับฉันนี่แหละ”
เขาพยักหน้าอย่างงุนงง เพราะเมื่อครู่นี้ฉันยังบอกอยู่ปาวๆ ว่าจะไม่ไปโชซอน
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปกับเจ้า”
ฉันหยิบชุดฮันบกของแม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าเพื่อใส่มันไปโชซอน ฉันรู้ดีว่ายุคที่ฉันจะไปนั้นกำลังเกิดสงครามอิมจิน หากใส่ชุดในยุคปัจจุบันไปคงเป็นอันตรายเพราะจะถูกกล่าวหาว่าเป็นชาวญี่ปุ่นได้
ชุดฮันบกของแม่ที่เพิ่งได้ใส่เป็นครั้งแรกช่างพอดีกับขนาดของตัวฉันอย่างน่ามหัศจรรย์ จากนั้นก็ถักเปียและผูกผ้าที่ปลายผมก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเตรียมตัวไปโชซอน เขามองฉันที่อยู่ในชุดฮันบกด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“ทำไม แปลกเหรอ”
“นี่มันนกอึยฮงซังไม่ใช่รึ”
“นกอึยฮงซังเหรอ” คำถามของเขาทำให้ฉันสังเกตชุดฮันบกที่กำลังใส่ พ่อบอกว่าชุดนี้เป็นชุดที่แม่ใส่ในวันแต่งงาน หรือที่โชซอนไม่ใส่ฮันบกสีนี้กันนะ
“ใช่ มันเป็นชุดสำหรับหญิงที่ออกเรือนไม่ใช่รึ”
“จริงด้วยสิ” นกอึยฮงซังคือชุดที่ใส่แสดงสถานะเมื่องานแต่งงานสิ้นสุดแล้ว แต่ฉันมีชุดฮันบกให้ใส่เพียงแค่ชุดเดียวนี่นา
“นี่ก็ไม่ใช่ชุดของฉัน แต่เป็นชุดของแม่ที่เสียไปแล้ว”
“หมายถึงชุดของท่านแม่เจ้ารึ”
ฉันพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ฉันรีบ ยังไงก็ต้องใส่”
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่มันก็เหมาะกับเจ้ามาก เจ้าไม่ต่างจากสตรีแห่งโชซอนเลย”
“ก็แน่อยู่แล้ว ฉันก็เป็นคนโชซอนนี่นา เลิกพูดมากแล้วรีบไปกันดีกว่า” ฉันลากเขาไปที่ห้องนั่งเล่นที่กว้างที่สุดในบ้าน “วันที่นายจากมาเป็นวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร” ฉันถามเขาอย่างระมัดระวังถึงวันนั้นที่เขามายังที่แห่งนี้
“วันที่สิบเก้า เดือนเก้า” หลังตอบคำถามฉันเขาก็มีสีหน้างุนงงและเอ่ยถามกลับ “ว่าแต่เจ้าถามทำไมรึ”
การเดินทางข้ามเวลาของผู้หญิงของตระกูลเรามักไม่มีระบบระเบียบ บางทีคิดว่าจะไปยังยุคที่เกิดสงครามอิมจิน แต่กลับไปโผล่ยุคก่อนสงคราม หรือไม่ก็อาจจะไปโผล่หลังจากปีนั้นไปแล้วหลายปี อย่างเมื่อเก้าปีก่อน ฉันแค่คิดเฉยๆ ว่าอยากเจอพระเจ้าเซจงมหาราช แต่กลับสามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังสมัยพระเจ้าเซจงมหาราชได้เฉยเลย และพ่อก็ต้องทิ้งงานทิ้งการทั้งหมดเพื่อออกเดินทางข้ามเวลาแกะรอยตามหาฉันตลอดห้าปี
แต่ถ้ามีคนในอดีตอย่างเขาอยู่ข้างๆ เช่นในตอนนี้ก็จะช่วยให้ไปยังเวลานั้นได้ง่ายขึ้น พ่อคงจะส่งเขามาที่นี่เพื่อให้เขาเป็นกุญแจให้ฉันออกตามหาพ่อแน่ๆ
“เพราะเราจะต้องกลับไปที่นั่น” ฉันเลือกที่จะอธิบายสั้นๆ แทนคำพูดอธิบายยาวเหยียด แล้วยื่นมือสองข้างให้เขา “เอาล่ะ จับมือฉันไว้”
เขาลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือมาจับ
วันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1592 ฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ได้โปรดขอให้ไปถึงตามวันและจุดหมายอย่างแม่นยำด้วยเถิด
“นายต้องอธิบายให้ฉันฟัง”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
“ฉันหมายถึงสถานการณ์ก่อนที่นายจะมาที่นี่ ตอนนั้นหมู่บ้านถูกปิดล้อมใช่มั้ย”
“ใช่ พวกทหารญี่ปุ่นปิดล้อมที่นั่นและจุดไฟเผา”
ระหว่างที่เขาอธิบาย ฉันก็นึกถึงสถานที่ที่ต้องเดินทางไปพร้อมกับเขา สายลมอุ่นก็เริ่มพัดมาโอบล้อมบริเวณรอบๆ ฉันหลับตาทันทีที่ได้สัมผัสกับสายลมนั่น
ทันใดนั้นเองภาพของฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ของวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1592 ที่เขาบอกก็เริ่มปรากฏสู่สายตาของฉัน
หรือเป็นเพราะมือที่จับกันอยู่ ฉันจึงได้เห็นภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อน หมู่บ้านกำลังกลายเป็นทะเลเพลิง ผู้คนกรีดร้องและวิ่งกันอลหม่าน บ้างก็กำลังค้นหาคนในครอบครัวที่หายไป โดยมีทหารญี่ปุ่นควบม้าไปทุกทิศทุกทางและกำลังเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม วินาทีที่ฉันเห็นภาพนั้น ร่างกายของฉันก็พลันสั่นสะท้าน
ระหว่างนั้นเสียงของเขาก็ดังแว่วเข้ามาในหู “เจ้า…ชื่ออะไร จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยถามแม้แต่ชื่อของเจ้า”
วินาทีนั้นฉันจึงตระหนักได้ว่าสายลมที่โอบล้อมพวกเราทั้งคู่นั้นหอบพวกเรามายังสถานที่ที่ฉันกำลังมองเห็นอยู่ในตอนนี้ ฉันจึงเอ่ยปากตอบคำถามของเขา
“คยองมิน คิมคยองมิน”
“คยองมิน…”
ตอนที่ชื่อของฉันถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเขา สายลมอบอุ่นที่โอบล้อมพวกเราไว้ก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิม