ในคำพูดที่ยืดยาวของฉัน ดูเหมือนจะมีแค่เพียงคำเดียวเท่านั้นที่เขาเข้าใจ
“เก็บรึ”
“ใช่ ฉันบอกให้เก็บดาบ มันอันตราย!”
เสียงตะโกนปนกรีดร้องของฉันทำให้เขามองไปยังดาบที่ตัวเองกำลังถืออยู่ก่อนจะเก็บดาบลงในฝักราวกับเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรถือดาบต่อหน้าผู้หญิง หรือไม่ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าสิ่งที่คุกคามตัวเองอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นแค่หนังสือเท่านั้น ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ทันใดนั้นเองขณะที่เขากำลังปลดฝักดาบออกจากเอว ฝักดาบก็ไปโดนเข้ากับกองหนังสือที่ใหญ่ที่สุดจนกองหนังสือนั้นโยกเยกและทำท่าจะพังครืนลงมา ฉันจึงรีบขว้างช้อนทิ้งแล้ววิ่งไปประคองกองหนังสือนั้นเอาไว้
“เฮ้ย!”
กองหนังสือสูงกว่าตัวฉันมาก แต่คนก่อเรื่องกลับยืนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่! ยืนบื้ออยู่ได้ มันจะล้มแล้ว!”
อายุของเขาดูใกล้เคียงกับฉัน ฉันจึงกล้าใช้คำที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก
“ช่วยมาจับหน่อยสิ! มันจะล้มแล้วเห็นมั้ย”
มือของเขาเริ่มขยับตามคำสั่งของฉัน จนในที่สุดกองหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโตก็ไม่ล้มลงมา ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง ส่วนเขายังคงหันไปมองรอบห้องที่ไม่คุ้นเคยด้วยสายตาที่งุนงง
“ที่นี่…”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องถามคำถามนี้ จะถามว่าที่นี่คือที่ไหนใช่มั้ย”
คิ้วของเขาขมวดแน่นราวกับไม่พอใจกับคำพูดอันแสนห้วนและไร้ซึ่งความสุภาพของฉัน ดูจากการแต่งตัวแล้ว อย่างน้อยก็คงเป็นขุนนางสมัยโชซอน คำพูดห้วนๆ ธรรมดาๆ ของผู้หญิงที่ไม่สามารถระบุชนชั้นวรรณะได้คงแสลงหูสำหรับเขาไม่น้อยสินะ
“อืม ที่นี่น่ะ” พ่อเคยสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ “สวรรค์หรือโลกบนท้องฟ้าไง! หมายถึงเมืองแห่งท้องฟ้าน่ะ รู้จักเมืองแห่งท้องฟ้ามั้ย”
“เมืองแห่งท้องฟ้ารึ…”
“ดูรอบๆ ตัวสิ เคยเห็นมั้ย เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกใช่มั้ยล่ะ ไม่รู้ใช่มั้ยว่าอะไรเป็นอะไร นี่แหละคือหลักฐานที่แสดงว่าที่นี่คือเมืองแห่งท้องฟ้า”
“เมืองแห่งท้องฟ้ารึ ถ้าเช่นนั้นข้าก็สิ้นลมแล้วน่ะสิ”
“เอ่อ…จะพูดยังไงดี นายยังไม่ตาย เดี๋ยววันนี้ตอนค่ำๆ ฉันจะส่งนายกลับไปยังที่ที่นายจากมา เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้เฉยๆ ก็แล้วกัน”
“ข้าทำกระไรผิด เหตุใดท่านเทพจึงลงทัณฑ์ข้าเช่นนี้”
“เรื่องนั้นเอาไว้รอให้ท่านเทพกลับมาแล้วค่อยคุยกันเถอะนะ”
แน่นอนว่าท่านเทพก็คือพ่อของฉันเอง ถ้าพ่อรู้ว่าคนจากโชซอนเรียกท่านว่าท่านเทพ พ่อจะชอบหรือเปล่านะ
“ท่านเทพรึ ที่แห่งนี้คือเมืองแห่งท้องฟ้าของท่านเทพจริงๆ รึ”
เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดของฉัน ดังนั้นวิธีรับมือกับเรื่องนี้จึงมีเพียงแค่วิธีเดียว ฉันหันไปเปิดหน้าต่างที่มีเพียงแค่บานเดียวในห้องหนังสือ วิธีนี้เป็นวิธีสุดขั้วที่พ่อเคยบอกให้ระวังและถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรทำ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นวิธีที่ดีมากที่จะสื่อสารให้คนที่มาจากยุคโชซอนเข้าใจ
“ดูข้างนอกโน่นสิ”
เขามองไปนอกหน้าต่างตามคำพูดของฉัน บ้านของฉันอยู่บนอพาร์ตเมนต์ชั้นสามสิบ ทันทีที่เขามองเห็นผู้คนด้านล่างที่เคลื่อนไหวราวกับกองทัพมด สีหน้าของเขาก็พลันซีดเผือด
“เป็นไปไม่ได้…”
เขาจ้องมองเบื้องล่างอยู่พักใหญ่ราวกับไม่อยากจะเชื่อ จนในที่สุดก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น อาการช็อกขนาดนี้คงจะพอให้สงบนิ่งนั่งรอพ่อจนถึงหัวค่ำได้นะ
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ นะ อยู่แต่ในห้องนี้ อย่าไปไหน แล้วนายจะได้กลับไปยังที่เดิม คอแห้งมั้ย ที่นี่มีทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้…”
เขาเอาแต่นั่งหน้าซีดเผือดไม่ยอมพูดยอมจา ซึ่งฉันเข้าใจอาการช็อกแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะฉันเคยสัมผัสกับอาการนี้เมื่อเก้าปีที่แล้วที่ตัวเองไปโผล่ในยุคโชซอน ฉันจึงสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง และตอนนั้นฉันอายุเพียงแค่เก้าขวบ ซึ่งเด็กกว่าเขาในตอนนี้เยอะมาก
“เฮ้อ…”
ฉันคิดจะปล่อยเขาให้นั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องหนังสือ เขาก็ยืนขึ้นแล้วเรียกฉัน
“แล้วแม่นางคือใคร”
ฉันรู้สึกลำบากใจกับคำถามนี้ ที่ผ่านมาพ่อเคยพาคนจากยุคโชซอนมายังโลกปัจจุบันหลายต่อหลายคน แต่ทุกครั้งพ่อจะอยู่ด้วย ฉันจึงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวว่าฉันคือใคร เพราะพ่อได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของฉันมีเพียงแค่เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในโชซอนเมื่อวัยเด็กเพื่อให้คนเหล่านั้นรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย แต่สำหรับเขาคนนี้ ฉันไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องสมัยที่ฉันอยู่โชซอนให้ฟังสักเท่าไหร่ เพราะเขาดูมีท่าทีถือตัวว่าเป็นผู้สูงศักดิ์
“ฉัน…เป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่”
“อาศัยอยู่ที่นี่รึ”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ฉันพูดพลางก้มหยิบช้อนขึ้นมาจากพื้นและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่เหรอ”
“สิบแปดปี”
อายุเท่าฉันเลย ฉันพยักหน้าให้กับความจริงที่เพิ่งรับรู้ แล้วเดินออกมาจากห้องหนังสือเงียบๆ พอถึงห้องครัว ก็ล้างช้อนแล้วนั่งกินข้าวต่อ