พ่อของฉันเป็นนักท่องเวลา แน่นอนว่าตระกูลของเราคือตระกูลของนักท่องเวลาที่ถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้าจะถามฉันถึงเรื่องประวัติของตระกูลตัวเองล่ะก็ ฉันไม่รู้เลยแม้แต่น้อย เพราะมันคงจะไม่สนุกและไม่น่าสนใจเลยสักนิด
ฉันรู้แต่เพียงว่าผู้หญิงทุกคนในตระกูลของเราเดินทางข้ามเวลาได้ แต่จะแตกต่างจากผู้ชายในตระกูลตรงที่ไม่สามารถเดินทางย้อนกลับมาเวลาเดิมได้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก ‘ผู้ชาย’ ในตระกูล พูดง่ายๆ ก็คือผู้หญิงในตระกูลไม่สามารถเดินทางข้ามเวลาตามอำเภอใจได้ และไม่สามารถกำหนดวันเวลาเองได้
เพราะข้อจำกัดที่ไม่เป็นธรรมนี้ฉันจึงต้องเผชิญกับเรื่องราวอันโหดร้ายในวัยเด็ก ตอนนั้นฉันอายุเก้าขวบ วันนั้นเป็นวันหยุดที่พ่อง่วนอยู่กับการทำสปาเก็ตตี้ของโปรดฉันอยู่ในครัว ส่วนฉันกำลังอ่านพระราชประวัติพระเจ้าเซจงมหาราชอยู่ในห้องนอนของตัวเอง
ในสายตาของฉันที่เป็นเด็ก พระเจ้าเซจงมหาราชนั้นเท่มาก ฉันอ่านพระราชประวัติของพระองค์จนจบพร้อมมีความปรารถนาเล็กๆ ในใจว่าอยากเจอพระองค์สักครั้ง ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าตระกูลของตัวเองเป็นตระกูลนักท่องเวลา พ่อบอกว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ พ่อก็ไม่คิดที่จะบอกความจริงนี้ให้ฉันฟังไปตลอดชีวิต
ในตอนนั้นฉันเพียงแค่คิดเฉยๆ ว่าอยากเจอพระเจ้าเซจงมหาราช แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่คิดก็สามารถเปิดประตูแห่งกาลเวลาและย้อนกลับไปสู่อดีตได้ วินาทีนั้นฉันรู้สึกถึงสายลมอุ่นๆ พัดมากระทบที่ใบหูอย่างแผ่วเบา
และนั่นคือการเดินทางข้ามเวลาครั้งแรกของฉัน
ฉันได้เดินทางไปยังยุคโชซอนใน ค.ศ. 1447 และได้พบกับพระเจ้าเซจงมหาราช พระองค์ทรงเป็นคนดีอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิด พระองค์ทรงท้วมเล็กน้อยต่างจากภาพวาดในหนังสือ ท่าทางการเดินก็ดูงกเงิ่น มองเผินๆ ไม่ค่อยสะดุดตา
‘เจ้าหลงทางรึ…’
พระองค์คิดว่าฉันเป็นเด็กหลงทาง จึงให้ฉันอยู่ในความดูแลของซังกุงส่วนพระองค์ หากฉันย้อนเวลาไปยังโชซอนแล้วไม่ได้เจอกับพระองค์ ฉันอาจจะถูกขับไล่ออกจากวัง ถ้าเลวร้ายที่สุดคือถูกสอบสวนและขังคุก
พระเจ้าเซจงทรงอนุญาตให้ฉันพำนักอยู่ในวังได้ในฐานะนางในฝึกหัด ทั้งที่ฉันไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ระบุเกี่ยวกับตัวตนและชนชั้นวรรณะของตัวเองเลย ไม่เพียงแค่นั้น พระองค์ยังให้ฉันได้ร่ำเรียนหนังสือกับเหล่าองค์หญิงอีกด้วย สิ่งนี้เป็นสิทธิพิเศษที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
จนในที่สุดฉันก็ได้กลายเป็น ‘หญิงสาวแห่งโชซอน’ ไม่ได้เป็นคนธรรมดาอีกต่อไป ฉันไม่สามารถมีเพื่อนได้ แม้จะเป็นคนที่อายุเท่ากันก็ตาม แถมยังต้องใช้ภาษาในรั้วในวังซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ฉันคุ้นเคย ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ จะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นฉันต้องยอมรับในโชคชะตานี้ มันถือเป็นประสบการณ์ที่โหดร้ายยิ่งนักสำหรับเด็กนักเรียนประถมที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างฉัน
ฉันใช้ชีวิตที่โชซอนนานถึงห้าปีจนลืมชีวิตของโลกปัจจุบันที่เคยใช้มาเก้าปีไปแล้ว ฉันกลายเป็นหญิงสาวโชซอนเต็มตัว และในที่สุดพ่อก็ตามหาฉันจนเจอ แม้จะไม่รู้ว่าตามหาฉันเจอได้อย่างไร แต่พ่อก็สามารถพาฉันกลับมายังโลกปัจจุบันได้
แต่มันไม่จบเพียงเท่านั้นน่ะสิ เนื่องจากฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ฉันเกิดและเติบโตได้ ฉันใช้ภาษาเกาหลีแบบโบราณ และเขียนตัวอักษรจีนได้คล่องกว่าตัวอักษรเกาหลี และที่โชซอนฉันถูกสอนมาว่าการนิ่งเฉย ไม่แสดงตนออกนอกหน้า มีกิริยานอบน้อมนั้นคือมารยาทอันดีของผู้หญิง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตนักเรียนและเพื่อนรุ่นเดียวกันได้ สุดท้ายฉันก็โดนเพื่อนแกล้งและเรียนไม่ทันเพื่อน พ่อจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ฉันลาออก แล้วสอนหนังสือฉันที่บ้านด้วยตัวเอง นี่คือวิธีในการปรับตัวและเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันที่ดีที่สุดสำหรับฉันที่ไปใช้ชีวิตในยุคโชซอนมาถึงห้าปี
จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ฉันสามารถปรับตัวได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน ฉันก็หมกมุ่นกับการสอบเทียบวุฒิการศึกษา การสวมชุดนักเรียนเป็นเพียงแค่ความฝันสำหรับฉันที่ไม่มีวันได้เป็นจริง