เช้าวันต่อมา จงไม่รู้ว่าแม่มา จึงนั่งอ่านหนังสือเสียงดังกับฉันอยู่บนพื้นไม้ที่ทั้งเย็นและแคบเหมือนเช่นเคย
ตำหนักขององค์ชายจองวอน ตำหนักของพระชายาและตำหนักของจงนั้นมีเพียงแค่กำแพงเล็กๆ กั้นกลาง เสียงอ่านหนังสือของลูกชายลอยไปตามสายลมเย็นๆ แน่นอนว่าต้องไปถึงที่ตำหนักของพระชายาแน่นอน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่านางจะมาหาจงเลย
ตอนแรกฉันคิดแก้ตัวแทนนางเอาไว้ว่าอากาศคงหนาวมากจึงอยู่แต่ในห้องด้านในจนไม่ได้ยินเสียงของจง แต่พอช่วงบ่ายนางกลับออกมาเดินเล่นอยู่หน้าตำหนักอย่างเพลิดเพลินกับลูกชายสองคน พอจงเห็นนางก็รีบวิ่งเข้าไปหา หวังจะได้ใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ แต่ทันทีที่นางเห็นจง นางกลับบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาท่องตำราหรอกรึ” เหมือนกับจะไล่จงกลับที่พักของตนเองกลายๆ ฉันเองที่เป็นแค่พี่เลี้ยงยังรู้สึกสงสารจงจับใจ แต่นางที่เป็นแม่แท้ๆ กลับไม่สงสารลูกบ้าง
สุดท้ายจงก็นั่งลงที่ไม้กระดานแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจในแบบเด็กๆ นั่นก็คือเริ่มอ่านออกเสียงให้ดังยิ่งขึ้น บางทีสิ่งที่จงหวังอาจจะเป็นการที่แม่ผ่านมาแล้วชมว่า ‘อ่านหนังสือเก่งจังเลยลูก’ สักครั้งก็ได้
ฉันเข้าใจหัวใจเด็กน้อยอย่างจง จึงไม่ชวนกลับเข้าที่พักทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ และคอยเขี่ยไฟเพื่อทำให้จงรู้สึกอบอุ่น แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่แม้แต่จะเหลียวมองมาทางที่พักของจงเลย
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า นางหายเข้าไปในตำหนัก ส่วนจงก็เลิกอ่านหนังสือ การนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างนอกทั้งวันทำให้ปลายจมูกของจงแดงก่ำ จงไม่พูดอะไรเลย ไม่มีท่าทางขี้เล่นแม้แต่น้อย และท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูก็หายไปด้วย ฉันจึงลูบหัวปลอบโยนจงที่กำลังแอบมองไฟที่ส่องสว่างอยู่ในตำหนักของพระชายา
“เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”
คืนวันนั้น หลังจากจงหลับไปได้พักใหญ่ องค์ชายจองวอนจึงเดินเข้ามา ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนมาตลอดทั้งวัน ทันทีที่เห็นเขา ฉันก็เกิดอาการไม่พอใจทันที
“องค์ชายหายไปไหนมาทั้งวันเพคะ”
คำพูดแรกที่ทักทายกันกลับกลายเป็นคำพูดบ้าคลั่งเช่นนี้ องค์ชายจองวอนจึงมีสีหน้างงงวยกับท่าทางและคำพูดของฉัน มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นเพียงแค่ซังกุงพระพี่เลี้ยง อีกทั้งยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่บังอาจทำนิสัยก้าวร้าวกับเชื้อพระวงศ์
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ”
“มีสิเพคะ ท่านชายจงอยู่คนเดียวทั้งวันเลยนะเพคะ”
“เจ้าเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง ไม่ได้อยู่กับจงหรอกรึ” เขาย้อนถามฉัน ฉันจึงยิ่งรู้สึกโมโห
“หม่อมฉันอยู่ด้วยตลอดทั้งวันเพคะ แต่ท่านชายจงไม่ได้เจอกับพ่อแม่เลย เอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันเลยเพคะ”
“ข้ามีงานต้องทำ”
ในสถานการณ์แบบนี้ องค์ชายจองวอนเลือกที่จะแก้ตัวออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแก้ตัวเลย
“แล้วพระชายาของพระองค์ยุ่งอยู่กับการใช้เวลากับโอรสทั้งสองพระองค์หรือเพคะ ถึงแม้ว่าท่านชายจงจะเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดแต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่น การที่พ่อแม่ไม่ใช้เวลาร่วมกับลูก มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเพคะ!”
แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าตำแหน่งซังกุงพระพี่เลี้ยงนั้นมีอำนาจอยู่ในระดับไหน แต่สิ่งที่ฉันแน่ใจคือมันไม่ใช่ตำแหน่งที่จะสามารถสั่งสอนเชื้อพระวงศ์ได้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย จงมีทั้งพ่อและแม่ แต่พ่อกับแม่ทะเลาะกันจนปล่อยให้ลูกต้องโดดเดี่ยว
องค์ชายจองวอนไม่พูดอะไรสักคำกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงของฉัน เขาทำท่าจะอ้าปากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา พอเห็นองค์ชายจองวอนนิ่งเงียบฉันก็รู้สึกกลัวว่าจะถูกไล่ออกจากวัง แต่ที่ฉันพูดออกไปแบบนั้นเพราะฉันหวังดีต่อจงจริงๆ
“เอ่อ…ข้ารู้แล้ว” เขาตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนคำพูด และตอบออกมาเพียงแค่นี้ “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เขาจะพูดทั้งหมดเพียงแค่นี้จริงๆ หรือ องค์ชายจองวอนเข้าใจที่ฉันพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย