Jamsai
ทดลองอ่าน พานพบฝ่าบาทในห้วงกาล บทที่ 3-บทที่ 4
“แล้วองค์ชายอิมแฮเข้ามาตอนนั้นพอดีเลยเจ้าค่ะ อุ๊ย!”
ขณะที่มียองกำลังเดินพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักขององค์ชายอิมแฮให้ฟัง อยู่ๆ มียองก็หยุดยืนอยู่กับที่ ฉันจึงหยุดเดินแล้วหันไปมองตามสายตาของมียอง องค์ชายควังแฮยืนอยู่ตรงนั้น เขากลับเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงมาเดินอยู่หน้าตำหนักพระมเหสีที่ร้างผู้คนเช่นนี้
บางทีเขาอาจจะคิดถึงพระนางอึยอินที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ได้ แม้พระนางอึยอินจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรมด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่เขาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นพระนางยังเป็นคนที่คอยช่วยเหลือทำให้เขาดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมาได้ยาวนานจนถึงตอนนี้
ทันใดนั้นเองจงก็รีบยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วตะโกน
“ท่านลุ…”
ฉันรีบเอามือปิดปากจงแล้วดันตัวเขาให้หมอบลง
“ชู่ว…เงียบก่อนจง”
จงทำตาโตแล้วมองฉันอย่างตกใจ มียองเองก็รีบหมอบตาม
“มีอะไรหรือเจ้าคะพี่สาว”
“เจ้าเองก็เงียบๆ ก่อนเถอะ”
ฉันค่อยๆ ลากจงไปที่ด้านข้างของกำแพงหินโดยมีมียองตามหลังมา
“ตอนนี้เรากำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่นะจง”
“อือ”
“จงห้ามให้ท่านลุงเห็นเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“เพราะเหตุใดหรือ”
“มันคือการเล่นน่ะ จงเข้าใจใช่ไหม ถ้าจงพูดถือว่าแพ้นะ”
จงทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่จิตใจของเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
อ๊ะ ใช่สิ ได้ยินมาว่าเมื่อวานมีส้มเข้ามาที่ห้องเครื่องนี่นา
“จงชอบฮวังคัมใช่ไหม ฮวังคัมน่ะ”
พอได้ยินคำว่า ‘ฮวังคัม’ ดวงตาของจงก็เป็นประกายระยิบระยับ พร้อมกับรีบพยักหน้าทั้งที่ถูกฉันปิดปากอยู่
“วันนี้พี่จะให้จงกินฮวังคัมเป็นของว่าง”
“อือ!” จงพยักหน้าอย่างแรง
“ถ้าอย่างนั้นจงต้องออกไปจากที่นี่เงียบๆ แล้วจงจะได้กินฮวังคัม”
“อือ!”
เมื่อจงพยักหน้ารับอีกครั้ง ฉันก็คลายมือที่ปิดปากของจงออก
“เหตุใดถึงทำอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ น่าจะให้ท่านชายจงออกไปทำความเคารพองค์รัชทายาทนะเจ้าคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้น อยู่ตำหนักขององค์ชายอิมแฮไม่ใช่หรือ ถ้าองค์รัชทายาทรู้ว่าเรามาเกาะติดอยู่รอบๆ ตัว จง องค์รัชทายาทจะคิดอย่างไรเล่า”
“เอ่อ…นั่นสิเจ้าคะ ข้าไปตำหนักขององค์ชายจองวอนบ่อยเกินไป จนเกือบจะลืมตำหนักของตนเองไปแล้วเจ้าค่ะ”
แล้วเราสามคนก็ค่อยๆ ย่องออกไปอย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้นเอง
“ที่แห่งนี้คือพระตำหนักของพระมเหสี อุ๊ย! ตายจริง องค์ชายรัชทายาท!” เสียงของหญิงชราดังขึ้น
“พวกเจ้าเป็นซังกุงส่วนพระองค์ของเสด็จพ่อใช่หรือไม่”
“เพคะ”
“แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“หม่อมฉัน…กำลังพาคุณหนูทั้งสามท่านที่จะเข้าร่วมพิธีคัดเลือกอภิเษกออกจากวังเพคะ”
ทันทีที่ซังกุงส่วนพระองค์พูดจบ ฉันก็หันหน้าไปมอง ที่ลานหน้าพระตำหนักนั้นมีซังกุงส่วนพระองค์ของพระเจ้าซอนโจ หญิงสาวสามคนและองค์ชายควังแฮยืนอยู่
“แต่ข้าว่าทางออกจากวังไม่ใช่ทางนี้”
“เอ่อ…ทั้งสามอยากรู้ว่าพระตำหนักของพระมเหสีอยู่ตรงไหนของวังเพคะ”
คำแก้ตัวของซังกุงส่วนพระองค์ยิ่งกระตุ้นโทสะขององค์ชายควังแฮ พระเจ้าซอนโจเป็นคนออกคำสั่งให้จัดพิธีคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสในขณะที่ยังไว้ทุกข์อยู่ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่หญิงสาวเหล่านี้จะต้องเข้าวังเพื่อเข้าพิธี แต่การที่หญิงสาวเหล่านี้จะเข้ามาชมพระตำหนักของพระมเหสีตามอำเภอใจนั้นทำให้องค์ชายควังแฮไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่สีหน้าขององค์ชายบึ้งตึง ซังกุงส่วนพระองค์จึงรีบหมอบลง
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว! หม่อมฉันสมควรตายเพคะ! องค์ชายรัชทายาท!”
แต่ไม่ว่าจะสมควรตายสักแค่ไหน องค์ชายรัชทายาทก็ไม่สามารถตำหนิหรือลงโทษซังกุงส่วนพระองค์ของพระราชาได้ องค์ชายควังแฮจึงได้แต่มองซังกุงส่วนพระองค์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ส่วนหญิงสาวสามคนที่อยู่ด้านหลังซังกุงส่วนพระองค์ก็เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ฉันพยายามสังเกตใบหน้าของพวกนางแล้วเริ่มคาดเดาว่าใครกันจะได้เป็นพระมเหสีอินมกในวันข้างหน้า
หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าอย่างพิถีพิถันราวกับผู้ใหญ่ ในสายตาของฉัน นางมีเสน่ห์เย้ายวนใจมาก และตอนนั้นเองนางก็ก้าวออกไปยืนตรงหน้าซังกุงส่วนพระองค์
“ทุกอย่างเป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันสมควรได้รับโทษเพคะ องค์ชายรัชทายาท”
คำพูดที่ประดิดประดอยนั่นทำฉันแน่ใจด้วยสัญชาตญาณว่านางต้องเป็นพระมเหสีอินมกในอนาคตอย่างแน่นอน
“รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา” องค์ชายควังแฮถามกลับอย่างเย็นชา
“พวกหม่อมฉันทั้งหมดเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรกในวันนี้เพคะ สถานที่ทุกแห่งในนี้ช่างน่ามหัศจรรย์นัก พวกหม่อมฉันจึงแค่อยากดูรอบๆ เท่านั้นเพคะ ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินสิ่งใดเลย แต่การที่พวกหม่อมฉันเข้ามาในที่แห่งนี้และเกิดเรื่องขึ้น ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของท่านซังกุง แต่ผิดที่พวกหม่อมฉันต่างหากเพคะ”
ไม่รู้ว่าการยอมรับผิดของนาง หรือจิตใจอันกล้าหาญของนาง ที่ทำให้สีหน้าบึ้งตึงขององค์ชายค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“แต่ว่าการที่หม่อมฉันเข้ามาในพระตำหนักของพระมเหสีนั้น หม่อมฉันมีสาเหตุอื่นอีกเพคะ” ทว่าคำพูดของนางยังไม่จบ
“สาเหตุอันใดรึ”
“เพราะการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นด้วยคำสั่งของพระราชา ดังนั้นพวกหม่อมฉันจึงได้เข้าวังมาทั้งๆ ที่พิธีไว้ทุกข์ของพระมเหสีพระองค์เก่ายังไม่สิ้นสุด พวกหม่อมฉันรู้สึกผิดในหัวใจ ดังนั้นพวกหม่อมฉันจึงอยากมายังพระตำหนักของพระมเหสีที่ซึ่งจิตวิญญาณของพระองค์ยังคงดำรงอยู่เพื่อทำความเคารพพระองค์เพคะ”
ตอนนั้นเององค์ชายควังแฮถึงกับพูดอะไรไม่ออก คำพูดของนางคุมสถานการณ์ได้อย่างอยู่หมัด นางดูเหมือนเป็นคนมั่นใจและกล้าหาญ แต่ที่เปลือกตาของนางกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงจนฉันที่อยู่ไกลๆ ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
อาจจะเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ การตั้งสติได้แล้วไม่ตัวสั่นนั่นสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก
“ซังกุงลุกขึ้นเถอะ แล้วรีบพาพวกนางออกไปจากที่นี่”
“ขอบพระทัยเพคะ”
ซังกุงรีบเดินนำพวกนางออกไป แต่หญิงสาวที่พูดจาฉะฉานคนนั้นกลับยังไม่ยอมเดินตามไป ทั้งที่ซังกุงกับหญิงสาวอีกสองคนเดินนำไปไกลแล้ว องค์ชายควังแฮที่เหลืออยู่กับนางสองคนจึงเอ่ยถาม
“เจ้ายังไม่ไปอีกรึ”
“หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา หม่อมฉันอยากจะกราบทูลให้องค์รัชทายาททราบอีกเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าอีก”
“คือว่า…หม่อมฉันคิดเอาไว้นานแล้วว่ามีเรื่องอยากกราบทูลเมื่อได้พบกับองค์ชายรัชทายาทเพคะ”
“เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้ารึ ข้าไม่เคยรู้จักเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องอันใดถึงต้องคุยกับข้าด้วยเล่า”
“ถึงพระองค์จะจำเด็กน้อยคนนั้นไม่ได้ แต่เด็กน้อยคนนั้น…จำพระองค์ได้เสมอเพคะ”
“เจ้าน่ะรึ”
บรรยากาศแบบนี้…มันอะไรกันนะ
(ติดตามต่อในทดลองอ่านบทต่อไป)
Comments
