วินาทีที่อ่านตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนหินจารึก ลำคอของฉันแห้งผาก ความรู้สึกต่างๆ พรั่งพรูออกมา
“ข้าขอโทษด้วย… ข้าไม่รู้จักชื่อ จึงไม่สามารถจารึกชื่อลงไปได้ แต่ในวันครบรอบการตายของทุกปีข้าจะส่งคนมาทำพิธีเซ่นไหว้”
เจ้าของหลุมศพนี้คือคิมยองชัน พ่อของฉันเอง พ่อของฉันเสียชีวิตที่หมู่บ้านฮเว-รยอง จังหวัดฮัมคยอง ในปี 1592 ที่สงครามอิมจินกำลังคุกรุ่น โดยก่อนที่จะเสียชีวิต พ่อได้ส่งฉันกลับไปยังอนาคต แม้ในยุคนี้พ่อจะเป็นบุคคลที่เสียชีวิต แต่สำหรับในยุคที่ฉันจากมานั้นพ่อกลายเป็นบุคคลที่หายสาบสูญ นั่นแหละคือชีวิตของพ่อฉัน
ฉันน้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม ก่อนจะทรุดลงนั่งหน้าหลุมฝังศพอย่างไร้เรี่ยวแรง เขายื่นมือมาเพื่อจะประคอง แต่ฉันดันมือของเขาออกไปเบาๆ
“พ่อ… ฮือ…”
ฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายสักแค่ไหน ฉันก็ต้องเจอพ่อให้ได้ ต่อให้จะต้องใช้ลมหายใจของฉันแลกมา ฉันก็จะต้องเจอพ่ออีกครั้ง
ระหว่างที่ฉันร้องไห้และให้คำสัญญากับตัวเองนั้น มืออันอบอุ่นขององค์ชายควังแฮก็แตะลงบนไหล่ของฉันเบาๆ
ฉันร้องไห้ต่อเนื่องจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างของฉันบวมเป่ง ฉันไม่อยากให้เขาเห็นสภาพตาของฉันตอนนี้ จึงเอาแต่ก้มหน้าแล้วเดินตามหลังเขาไป
“ว้าย!”
ทันทีที่ฉันก้าวพลาดจนเกือบจะล้ม เขาก็หันมาคว้าตัวฉันเอาไว้ได้ทัน ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าเขาจะล้อเรื่องดวงตาที่บวมเป่งเหมือนกบ แต่เขากลับเชยคางของฉันขึ้นโดยไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ เขาไม่พูดไม่ถามอะไร เอาแต่สังเกตใบหน้าของฉัน ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ปล่อยมือแล้วเริ่มเดินต่อ
พอเดินมาถึงจุดที่ผูกม้าเอาไว้ เขากลับเดินเลยม้าไปเด็ดใบไม้หลายใบมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก่อนจะยื่นมาให้ฉัน
“เอาไปประคบดวงตา มันช่วยบรรเทาอาการบวมได้”
คำพูดที่นึกไม่ถึงทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมอง “มันคืออะไรหรือ”
“ถึงข้าจะไม่ใช่หมอหลวง แต่ข้าก็เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาจากพวกหมอหลวงในช่วงสงครามอิมจิน”
ฉันนำใบไม้มาประคบดวงตาข้างหนึ่งก่อน
“อย่าเพิ่งเอาออกจากตาจนกว่าอาการจะดีขึ้น พอถึงวัง ตาของเจ้าก็จะดีขึ้นพอประมาณ”
พอฟังคำนั้นฉันก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมา
“แล้วเจ้าก็ต้องไปอยู่นอกวังใช่ไหม”
ฉันพูดคำธรรมดาออกจากปากแล้วก็สับสนเอง ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้ใส่ชุดขององค์ชายรัชทายาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท นอกจากนั้นตอนนี้เขายังอายุมากกว่าฉันอีกด้วย
“…เพคะ”
คำว่า ‘เพคะ’ ของฉันทำให้เขาระเบิดหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าข้าลืมหรือว่าตนเองเป็นใคร”
“ก็ข้าต้องอยู่ที่วังในฐานะนางในไปจนตาย จะให้ข้าพูดจาสบายๆ กับเจ้าไปตลอดหรือไร”
“ได้ฟังคำว่า ‘เพคะ’ จากปากเจ้า ก็ฟังดูไม่เลวเหมือนกัน แต่เวลาอยู่กันสองคน ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดจาสบายๆ กับข้าและเรียกชื่อเดิมของข้าได้”
ชื่อเดิมของเขาก็คือ ‘ฮน’
ฉันรู้จักชื่อของเขาดี เพราะตอนที่พ่อหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเรื่ององค์ชายควังแฮ ฉันได้ยินชื่อของเขาบ่อยมากราวกับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นนางในของโชซอน จะเรียกชื่อขององค์ชายรัชทายาทพล่อยๆ ไม่ได้ และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะต้องอาศัยอยู่ในยุคโชซอนไปชั่วชีวิตเลยหรือเปล่า ดังนั้นการแบ่งชนชั้นวรรณะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ฉันจะต้องทำความคุ้นเคย
“จริงรึ เรียกชื่อได้ด้วยรึ”
ฉันถามให้แน่ใจ เพราะเขาคือองค์ชายรัชทายาทที่จะกลายเป็นพระราชาในอนาคต
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
“ถ้าเช่นนั้น…อืม” ฉันตั้งสติก่อนจะเรียกชื่อเดิมของเขา “ฮน”
ทันทีที่ชื่อของเขาดังออกมาจากปากของฉัน ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อ เขาเองก็คงอยากมีเพื่อนที่คอยเรียกชื่อเหมือนคนปกติทั่วไป
“ต่อไปเวลาเราอยู่กันแค่สองคนแบบนี้ ข้าจะเรียกเจ้าว่าฮนนะ”
ฉันยืนยันความต้องการของเขาอีกครั้ง เขาจึงพยักหน้าและเริ่มจูงม้าลงเนิน
“ท่านแม่ของข้าก็เรียกข้าเหมือนที่เจ้าเรียก” จู่ๆ เขาพูดถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา
พระสนมกงบิน แม่ของเขาจากโลกใบนี้ไปด้วยอาการป่วยตอนที่เขาอายุได้เพียงสองขวบ
“แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเรียกชื่อของข้าอีก ไม่ใช่สิ ไม่มีใครสามารถเรียกได้ต่างหาก หลังจากที่ข้าได้เป็นรัชทายาท แม้กระทั่งเสด็จพ่อก็ไม่เรียกชื่อข้า แต่การที่มีใครสักคนเรียกชื่อ มันมีความหมายมากกว่าไม่ใช่รึ”
“ถูกต้อง ก็ชื่อตั้งเอาไว้ให้เรียกนี่นา”
เขาหยุดเดินอีกครั้งแล้วหันมามองฉัน
“และตอนนี้เจ้าก็เรียกชื่อของข้า เจ้ารู้ไหมว่าในวังน่ะแม้แต่หายใจยังยากลำบากเลย”
ฉันไม่เข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่ายังไง