ถึงแม้จะไม่รู้ว่าข้อสุดท้ายนั้นจะทำได้อย่างไร แต่เซียวเซียวก็ยอมรับที่จะเรียกคนพวกนี้ว่า ‘นักบำบัด’
“โอ๊ยๆๆๆ เจ็บๆๆๆ” เสียงร้องโอดครวญที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเสียงของคนไข้กระดูกหักที่เพิ่งเอาเฝือกออก คนไข้คนนี้อายุสามสิบกว่า เขากำลังโดนนักบำบัดจัดการจนน้ำตาไหลออกมา
“สามเดือนแล้วยังยืดไม่ตรงอีก ตอนนี้ต้องรีบดึงออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นกระดูกคุณก็จะงออย่างนี้ตลอดไป” ชายหนุ่มร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามซึ่งดูไม่เหมือนหมอเลยสักนิดพูดขึ้น
“ผมไม่เอานะ พรุ่งนี้ค่อยต่อเถอะ”
ภาพลักษณะเดียวกับที่เห็นตรงหน้าเกิดขึ้นแทบทุกมุมห้อง จะเรียกว่าเป็นนรกบนดิน เป็นความทรมานอย่างที่สุดก็คงไม่ผิด
เซียวเซียวสะบัดแขนไปมาแล้วขึ้นไปบนลู่วิ่ง ก่อนจะเริ่มวิ่งช้าๆ แพทย์ประจำตัวของเธอบอกว่าห้ามหักโหมจนเกินไป และจั่นหลิงจวินก็เน้นย้ำว่าการออกกำลังกายต้องพอเหมาะ เธอจึงคิดว่าควรจะวิ่งสักสามสิบนาที
“เหมิงเหมิง กินข้าวเย็นไหม” นักโภชนาการที่ชื่อซ่งถังชะโงกหน้าเข้ามาตรงหน้าประตูฟิตเนส ทำท่าโบกไม้โบกมือกับชายหนุ่มร่างกำยำที่กำลังทำกายภาพให้กับคนไข้
“กิน รอฉันอีกสิบห้านาทีนะ” เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้นตอบ
“คุณชื่อเหมิงเหมิงเหรอ” คนไข้ที่ถูกเขากดไว้หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย…เจ็บๆ”
“ผมชื่อหลี่เหมิง จะเรียกว่าคุณหมอหลี่หรือเสี่ยวหลี่ก็ได้ แต่โปรดอย่าเรียกผมว่าเหมิงเหมิง” หลี่เหมิงยกมือกำหมัดและทำท่าเหวี่ยงหมัดไปทางคนพูดมากอย่างซ่งถัง
เซียวเซียวพยายามกลั้นหัวเราะ หันกลับไปเห็นซ่งถังเปิดเครื่องลู่วิ่งแล้วเริ่มวิ่งช้าๆ ซ่งถังเห็นลูกค้าหันมามองจึงพยักหน้าให้อย่างสุภาพ “รายการอาหารนั่นคุณกินได้ไหม”
“ก็ได้นะ แต่แค่มีเนื้อน้อยมาก” เซียวเซียวพูดยิ้มๆ
“สภาพร่างกายของคุณไม่เหมาะจะกินเนื้อมากเกินไป สามารถกินเนื้อไก่เนื้อปลา แต่ต้องเอาหนังไก่และไขมันออก” ซ่งถังอยู่ในชุดสบายๆ มองดูแล้วเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย
หมอที่นี่ไม่เหมือนหมอเลยสักคน จะให้คนไข้แยกออกได้อย่างไร
น่าจะออกแบบยูนิฟอร์มให้พวกเขาสักชุด…
เซียวเซียวพิจารณารูปร่างผอมชะลูดของซ่งถัง สมองก็เริ่มคิดถึงชุดที่เหมาะกับเขา คิดอยู่ครู่หนึ่งท้องก็ส่งเสียงร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา เซียวเซียวรีบยกมือกุมท้อง ยังดีที่ในฟิตเนสเสียงดัง จึงไม่มีใครได้ยินเสียงน่าอายนั่น
เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่นานขาของเซียวเซียวก็พลันหมดแรง ก่อนที่ความอ่อนแรงนี้จะกระจายไปทั่วทั้งตัว และมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาเต็มไปหมด จากนั้นก็เป็นลมหงายหลังล้มลงไป
ขณะที่เข้าสู่ความมืดมิด เซียวเซียวรู้สึกเหมือนกับเห็นหน้าหล่อๆ ของจั่นหลิงจวิน
และเมื่อพยายามลืมตาขึ้นเซียวเซียวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีขาวบริเวณห้องรับรอง จั่นหลิงจวินกำลังใช้หูฟังของแพทย์กดไปที่โครงชุดชั้นในของเธอ
มีโครงชุดชั้นในมากั้นเขาจะได้ยินไหมนะ…
เซียวเซียวที่ได้สติกลับมาเต็มที่เริ่มคิดอย่างตื่นตระหนก
“ไม่เป็นไร น่าจะเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ” จั่นหลิงจวินเก็บหูฟังแพทย์ขึ้นแล้วก้มหน้ามองเธอ “คุณยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม”
“ยัง…”
ซ่งถังส่งแก้วกลูโคสให้เธอ “ก่อนหน้านี้คุณเคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำไหม”
เซียวเซียวลุกขึ้นนั่งแล้วดื่มกลูโคสจนหมด นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจที่เต้นเร็วขึ้นค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติ เหงื่อที่ออกมาก็ค่อยๆ น้อยลง “มีค่ะ ตอนที่ฉันผอมมากๆ เมื่อถึงหน้าร้อนก็มักจะยืนตรงๆ ไม่ได้และมีอาการหน้ามืดบ่อยๆ หลังจากทำงานแล้วก็อ้วนขึ้นหน่อยจึงค่อยดีขึ้นบ้าง”
ซ่งถังขมวดคิ้ว ทำท่าครุ่นคิดด้วยการยกมือขึ้นจับคางโดยมืออีกข้างซ้อนอยู่ด้านล่าง “ถ้าอย่างนั้นรายการอาหารของคุณคงต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย ตอนกลางคืนไม่ต้องกินโจ๊กแล้ว กินเป็นบะหมี่น้ำใส โจ๊กทะเลพวกนี้ได้ แต่ต้องไม่เกินสองร้อยกรัม”
“สุดยอดเลย” เซียวเซียวร้องออกมาด้วยความยินดี สองวันนี้เธอกินแต่โจ๊กถั่วเขียวจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอยู่แล้ว
จากนั้นความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น