จั่นหลิงจวินไม่ได้อธิบายอะไรอีก เขาก้มหน้าลงรับประทานอาหารอย่างละเมียดละไม
เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อข้าวเข้าปากฟันก็บดเคี้ยวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในลำคอราวกับมีมือใหญ่คอยดึงอาหารที่ยังไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียดลงไปในท้องอย่างรวดเร็ว
หลังจากจัดการข้าวหน้าไก่ทอดจนหมดเกลี้ยง เซียวเซียวก็ยกมือขึ้นนวดแก้มที่ปวดเมื่อย การกินด้วยความรวดเร็วและไม่อาจควบคุมจังหวะการเคี้ยวที่เร็วเกินไปได้เช่นนี้ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้รับไม่ค่อยไหว
เมื่อเห็นว่าจั่นหลิงจวินยังกินอาหารไม่เสร็จ เธอจึงหยิบโค้กขวดหนึ่งขึ้นมาดื่ม ขณะดื่มไปก็เหลือบตามองเขาไปด้วย
มือได้รูปกับนิ้วเรียวยาวนั้นถือตะเกียบไม้ราคาถูก แต่ทำไมช่างดูเหมือนกำลังถืองานศิลปะชั้นสูงอยู่ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนอ้ารับไก่ทอดเข้าไปในปาก กัดเข้าไปคำหนึ่งก็มีเสียงกรุบออกมาเบาๆ แล้วตามด้วยข้าวและแครอตสดแผ่นบาง เป็นภาพที่เห็นแล้วก็อยากจะขยับตะเกียบกินตามไปด้วยจริงๆ
เซียวเซียวรู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอสามารถกินข้าวได้อีกสามชามใหญ่ๆ
“ไก่ทอดหนึ่งร้อยกรัมจะมีไขมันสิบกรัม” จั่นหลิงจวินกินข้าวเสร็จแล้วก็วางตะเกียบลง ก่อนจะดื่มน้ำเปล่าตาม “ไขมันไม่อาจเปลี่ยนเป็นน้ำตาลหรือโปรตีนได้ กินเข้าไปมากน้อยแค่ไหนก็จะไปติดอยู่ที่กล้ามเนื้อของคุณมากเท่านั้น”
เซียวเซียวยกมือกุมใบหน้าอย่างหวาดกลัวทันที
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่สโมสรซังอวี๋ ซึ่งครั้งนี้สโมสรดูครึกครื้นกว่าคราวที่แล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะหลายคนเลิกงานแล้วจึงจะมีเวลามาฟื้นฟูสุขภาพที่นี่
ชายหนุ่มร่างกำยำที่อยู่ในชุดคล้ายครูฝึกนักกีฬาค่อยๆ เข็นรถเข็นซึ่งมีหนุ่มน้อยในชุดกีฬานั่งอยู่ออกมาด้านนอก ขากางเกงสองข้างใต้เข่าลงมามีแต่ความว่างเปล่า ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดขาวแต่มีแววตาที่สดใส เขายิ้มทักทายจั่นหลิงจวิน “คุณหมอจั่น”
จั่นหลิงจวินหยุดมองสีหน้าสบายใจของสามีภรรยาวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากับชายหนุ่มร่างกำยำ เมื่ออีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ส่งมาจึงเข็นรถเข็นนำไปก่อน จั่นหลิงจวินยืนดักพ่อแม่ของเด็กหนุ่มแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเบาๆ ว่า “ช่วงนี้ต้องคอยดูเขาให้ดี อาจจะคิดสั้นได้ง่ายๆ”
สองสามีภรรยาตกใจชะงักไป มองลูกชายที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับนักบำบัดด้านหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่ว่าดีขึ้นแล้วหรอกเหรอ ลูกชายผมมองโลกในแง่ดีมาก ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก” ฝ่ายชายแสดงอาการไม่ค่อยพอใจ ราวกับจั่นหลิงจวินกำลังแช่งลูกชายสุดที่รักของเขา
“เขาอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า พวกคุณต้องคอยสังเกตเขาให้ดีๆ” จั่นหลิงจวินย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จากนั้นจึงพาเซียวเซียวเดินเข้าสโมสรไป